xs
xsm
sm
md
lg

Explainer: เกือบไป! สื่อผู้ดีอธิบายเบื้องลึกคำสั่งแบนวีซ่าถาวร 12 ชาติ “ไทย” รอดหวุดหวิด แต่เพื่อนบ้าน “เมียนมา-ลาว” ไม่พ้นพบ “ทำเนียบขาว” จ้องทัศนคติเป็นลบ-ก่อการร้าย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - บัญชีดำ 12 ชาติที่สามารถเพิ่มหรือลดได้นั้นรวมเพื่อนบ้านทั้งเมียนมา และลาว ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งเชือดห้ามพลเมืองประเทศเหล่านี้ได้วีซ่าสหรัฐฯเข้าประเทศอย่างถาวร อ้างเป็นพวกก่อการร้าย แสดงทัศนะคติเป็นลบกับสหรัฐฯ รัฐบาล วัฒนธรรม ต่อต้านชาวอเมริกัน หรือหลักการประเทศ ขณะที่ “ไทย” รอดหวุดหวิดไม่ติดโผ สกายนิวส์อธิบายคอนเซปฐานข้อมูลมั่ว เว้น 'ซีเรีย' เพราะเพิ่งพบผู้นำ และไม่มีอียิปต์ที่ผู้ต้องหาใช้ระเบิดโจมตีกลุ่มประท้วงตัวประกันชาวยิวในรัฐโคโลราโด

สกายนิวส์ของอังกฤษรายงานวันพฤหัสบดี(15 มิ.ย)ว่า ทำเนียบขาวของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ แถลงว่า ถือเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯในการใช้มาตรการเพื่อทำให้มั่นใจว่าทุกคนที่ต้องการเข้าสู่ “ประเทศของพวกเราจะไม่เป็นอันตรายต่อประชาชนอเมริกัน”

ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามคำสั่งห้ามการเดินทางเข้าสหรัฐฯจาก 12 ชาติทั่วโลก

โดยเขากล่าวว่า การโจมตีเกิดขึ้นที่เมืองโบลเดอร์( Boulder) รัฐโคโลราโดวันอาทิตย์(1)ต่อกลุ่มผู้ประท้วงเพื่อตัวประกันชาวอิสราเอลนั้นแสดงถึง “อันตรายขั้นร้ายกาจ” ของพวกต่างชาติ

ในบรรดารายชื่อ 12 ชาติติดโผบัญชีดำทรัมป์ ไม่มี “ไทย” รวมอยู่ในนั้นแต่เพื่อนบ้านของไทยรวมอยู่ได้แก่ เมียนมา และ ลาว โดยที่เมียนมานั้นถูกสั่งห้ามออกวีซ่าเข้าสหรัฐฯโดยเด็ดขาด ส่วนลาวนั้นพลเมืองยังได้รับการออกวีซ่าแต่เป็นไปอย่างจำกัดและโดนตรวจสอบมาก

CNN ของสหรัฐฯรายงานว่า ทำเนียบขาวแจกแจงในกรณีของทั้ง เมียนมา และ ลาว ว่า เกิดขึ้นจากการล้มเหลวในการให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯในการรับตัวพลเมืองของตัวเองกลับคืน

ประเทศที่โดนห้ามออกวีซ่าสหรัฐฯเข้าอย่างถาวรได้แก่ อัฟกานิสถาน พม่า ชาด คองโก อิเควทอเรียลกินี เอริเทรีย เฮติ อิหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน และเยเมน

ขณะที่อีก 7 ประเทศ ได้แก่ บุรุนดี คิวบา ลาว เซียร์ราลีโอน โตโก เติร์กเมนิสถาน และเวเนซุเอลา จะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดและจำกัดการเข้าประเทศ

ซึ่งก่อนหน้ากลายเป็นข่าวไปทั่วโลกเมื่อมีชาวลาวที่อ้างตัวว่าเป็น “คนไทย” โดน Dr.Phil ชื่อดังร่วมกับหน่วยจับคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ICE กวาดล้างที่ชิคาโกเมื่อปลายเดือนมกราคมต้นปี

อ้างอิงจากตารางสถิติการออกวีซ่าถาวรเข้าสหรัฐฯประจำปี 2024 ตามการรายงานของสกายนิวาส์ พบว่าเมียนมาได้รับวีซ่าถาวรเข้าอเมริกาจำนวน 1,752 คน ขณะที่อัฟกานิสถานอยู่ที่ 39,055 คน ซึ่งกองกำลังสหรัฐฯและนาโตถอนออกไปจากอัฟกานิสถานทั้งหมดเมื่อสิงหาคมปี 2021 และได้นำพลเมืองอัฟกันและครอบครัวที่ช่วยเหลือกองกำลังสหรัฐฯเข้าไปลี้ภัยในอเมริกา

ส่วนอิหร่านได้วีซ่าถาวรสหรัฐฯปี 2024 ทั้งหมดราว 7,465 คน

อ้างอิงจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯพบว่า ในปี 2023 ได้มีการออกวีซ่าสำหรับผู้ที่ขออนุญาตเข้าประเทศชั่วคราว (Non-Immigrant Visa) จำนวน 59,174 คน และวีซ่าสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่ออยู่อาศัยถาวร Immigrant Visa จำนวน 1,853 คน

ขณะที่กงสุลสหรัฐฯ จ.เชียงใหม่ออกวีซ่าสำหรับผู้ที่ขออนุญาตเข้าประเทศชั่วคราวในปี 2023 มีทั้งหมด 5,476 คน

ในตารางยังกล่าวว่าสหรัฐฯออกวีซ่าแบบเดินทางเข้าประเทศชั่วคราวให้กับสิงคโปร์ปี 2023 จำนวน 42,667 คนและวีซ่าพำนักถาวรสหรัฐฯจำนวน 573 คน เป็นต้น

อย่างไรก็ตามสกายนิวส์ชี้ว่า ในบัญชีไม่มีอียิปต์ที่ผู้ต้องหาโจมตีกลุ่มประท้วงเพื่อตัวประกันชาวอิสราเอลเกิดในเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปหลายคน

หรือแม้แต่ซีเรียเพราะเพิ่งพบกับผู้นำมาระหว่างทริปเยือนตะวันออกกลาง

สื่ออังกฤษรายงานว่า บัญชีดำของทรัมป์นี้ถูกทำขึ้นมาหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯได้ขอให้เจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิสหรัฐฯและผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯเป็นผู้จัดการทำขึ้นมาสำหรับรายงานที่แสดงถึงว่ามีประเทศใดบ้างที่พลเมืองของชาติเหล่านี้จะเป็นภัยคุกคาม

คำสั่งแบนมีผลตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย เป็นต้นไปอย่างไรก็ตาม สกายนิวส์เตือนว่า มีความเป็นไปได้ว่า อาจมีการเพิ่มชื่อประเทศหรือลบออกจากบัญชีได้หลังจากนี้

สื่ออังกฤษอธิบายเบื้องหลังการแบนเกิดขึ้นจากการที่ทำเนียบขาวเชื่อว่า การที่จะเข้าสู่สหรัฐฯต้องไม่มีทัศนคติที่เป็นปรปักษ์ต่อ ชาวอเมริกัน วัฒนธรรมสหรัฐฯ รัฐบาลสหรัฐฯ สถาบันองค์กร หรือหลักการพื้นฐานประเทศ และที่สำคัญต้องไม่สนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย เป็นต้นว่า กบฎฮูตี หรือ ฮามาส

บรรดานักวิจารณ์ออกมาชี้ว่า บัญชีดำห้ามเข้าประเทศ 12 ชาติของทรัมป์แสดงให้เห็นถึงทัศนคติในด้านลบของประธานาธิบดีสหรัฐฯต่อพวกผู้อพยพเป็นหลักแต่อ้างความวิตกด้านความมั่นคงประเทศบังหน้า

องค์กรบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศและองค์กรช่วยหลือการตั้งรกรากผู้อพยพต่างออกมาประณามคำสั่งทั้งนั้น

“นี่เป็นนโยบายที่ไม่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงประเทศ แต่เป็นการแพร่กระจายความแตกแยกและโจมตีต่อชุมชนกลุ่มคนที่ต้องการแสวงหาความปลอดภัยและโอกาสในสหรัฐฯ” แอบบี แม็กซ์แมน (Abby Maxman) ประธานองค์กร Oxfam America กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น