ผลสำรวจความคิดเห็นโดยบริษัทข่าวกรองธุรกิจในอเมริกาเผย ระดับความนิยม “จีน” ทั่วโลกพุ่งแซงหน้าสหรัฐฯ ในความเปลี่ยนแปลงซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากนโยบายรีดภาษีคู่ค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
จากข้อมูลช่วงปลายเดือน พ.ค. พบว่า คะแนนความนิยมจีนทั่วโลกอยู่ที่ +8.8 ในขณะที่มุมมองต่อสหรัฐฯ นั้นตกต่ำถึงระดับติดลบ โดยอยู่ที่ -1.5 ซึ่งแตกต่างสิ้นเชิงจากระดับ +20 เมื่อเดือน ม.ค. ปี 2024 ตามผลสำรวจของ Morning Consult
ผลสำรวจนี้สอบถามความคิดเห็นจากผู้ใหญ่ 4,900 คนใน 41 ประเทศระหว่างวันที่ 1 ม.ค. ถึง 30 เม.ย. โดยไม่รวมประชากรภายในประเทศทั้งสอง
ระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย. ปีนี้ มีอยู่ 38 จากทั้งหมด 41 ประเทศซึ่งระดับความนิยมสหรัฐฯ ลดลง และ 34 ประเทศมีมุมมองต่อจีนไปในทางบวกมากขึ้น
ทั้งนี้ มีเพียง “รัสเซีย” ประเทศเดียวที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เทคะแนนนิยมให้สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งสอดคล้องกับการกลับขึ้นครองเก้าอี้ประธานาธิบดีของ ทรัมป์ ในเดือน ม.ค.
ผลสำรวจยังพบว่า ประเทศที่พลิกกลับจาก “โปรสหรัฐฯ” กลายมาเป็น “โปรจีน” ยังรวมถึงชาติพันธมิตรสำคัญของอเมริกาอย่าง เยอรมนี แคนาดา นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ และสเปน ซึ่งทำให้ “กลุ่มชาติที่มีทัศนคติเชิงบวกต่อจีน” เพิ่มจำนวนขึ้นจาก 13 เมื่อต้นปีกลายมาเป็น 29 ในเดือน เม.ย.
ขณะเดียวกัน มีเพียง 13 ประเทศที่มีมุมมองเชิงบวกต่อสหรัฐฯ มากกว่าจีน ทว่าในกลุ่มนี้ก็ยังมีบางประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อินเดีย และเกาหลีใต้ ที่ผู้ตอบแบบสอบถามเลือก “เป็นกลาง” หรือ “ลบ” มากถึง 1 ใน 3
ผลสำรวจฉบับนี้ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้กระแสความนิยมสหรัฐฯ ลดลงไปมากก็คือ นโยบายการค้าของ ทรัมป์ ที่เน้นใช้วิธีขู่รีดภาษีกดดันชาติอื่น โดยเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ทรัมป์ ได้ประกาศอัตราภาษีตอบโต้คู่ค้าหลายสิบประเทศทั่วโลก และยกให้วันดังกล่าวเป็น “วันปลดปล่อยอเมริกา”
Morning Consult ชี้ว่า ความเคลื่อนไหวนี้ “บ่อนทำลายภาพลักษณ์ที่ดี” ของสหรัฐอเมริกาอย่างรุนแรง
“ความเสียหายต่อภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นจากคำสั่งรีดภาษีในวันปลดปล่อยได้เกิดขึ้นแล้ว” รายงานระบุ
เจสัน แมคแมนน์ หัวหน้าฝ่ายข่าวกรองการเมืองของ Morning Consult ยังเตือนด้วยว่า ความเสียหายในเชิงลึกที่เกิดขึ้นกับ “ซอฟต์พาวเวอร์” ของสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ยากจะกอบกู้ให้กลับคืนมาเหมือนเดิมได้
ที่มา: CGTN