ตามหลังความขัดแย้งระหว่างอาร์เซอร์ไบจานกับอาร์เมเนีย และเหตุปะทะช่วงสั้นๆแต่หนักหน่วงระหว่างอินเดียกับปากีสถาน อีกหนึ่งความขัดแย้งในเอเชียที่ถูกแช่แข็งมานาน ได้โหมกระพือความร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง และมันเป็นเหตุปะทะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นเพราะมันเป็นศึกระหว่าง กัมพูชา พันธมิตรของจีน และไทย คู่หูตามสนธิสัญญาของสหรัฐฯ ตามรายงานข่าวของยูเรเซียไทม์ส
ยูเรเซียไทม์ส รายงานว่าการปะทะเมื่อเร็วๆนี้ระหว่างไทยกับกัมพูชา ถือเป็นการดวลปืนครั้งร้ายแรงที่สุดตามแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาทนับตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งคราวนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 28 ราย เวลานี้กัมพูชาตัดสินใจจะยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) เกี่ยวกับแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาทกับไทย อ้างอิงคำพูดของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต
รายงานข่าวระบุว่าข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา หลักๆมีแก่นกลางอยู่ที่ประสาทเขาพระวิหารและคำกล่าวอ้างทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งมีต้นตอจากสนธิสัญญาต่างๆในอดีตและความคลุมเครือในยุคล่าอาณานิคม ประสาทพระวิหารที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ตั้งอยู่บนเขาแดงเกร็ก ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยกให้เป็นของกัมพูชาในปี 1962 อย่างไรก็ตามข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดนที่อยู่ใกล้เคียงยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง และโหมกระพือหนักหน่วงขึ้นโดยกระแสชาตินิยมในทั้ง 2 ประเทศ หนังสือพิมพ์ยูเรเซียไทม์สรายงาน
ยูเรเซียไทม์สระบุว่าเหตุปะทะทางทหารระหว่าง 2 ชาติเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปะทุขึ้นในปี 2008 จากนั้นก็นำมาซึ่งเหตุการณ์ความรุนแรงประปรายอีกหลายปี โดยล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีทหารกัมพูชารายหนึ่งเสียชีวิตในที่ตั้งแห่งหนึ่งที่เรียกว่าสามเหลี่ยมมรกต พื้นที่ชายแดนร่วมระหว่างกัมพูชา ไทยและลาว
หนึ่งวันหนึ่งจากนั้น กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชายื่นหนังสือถึงสถานทูตไทยในพนมเปญ เรียกร้องให้สืบสวนอย่างละเอียดและในทันทีต่อเหตุยั่วยุ ส่วนนายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต เน้นย้ำว่าแม้ฝ่ายไทยไม่เห็นด้วยกับการนำประเด็นนี้เข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ทางกัมพูชาก็จะยังคงยื่นคำร้องไป เขาอ้างว่าข้อพิพาทชายแดนถูกยั่วยุปลุกปั่นโดยพวกหัวรุนแรงกลุ่มเล็กๆในทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะกันอีก
กระทรวงการต่างประเทศของไทยที่ยังไม่แสดงความคิดเห็นตอบกลับคำถามของเอเอฟพี ผิดกับทางทางกองทัพกัมพูชาที่อ้างว่าพวกเขาถูกโจมตีก่อนในเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่ฝ่ายไทยบอกว่าทหารของพวกเขาตอบโต้ หลังถูกยิงเข้าใส่
รายงานข่าวของยูเรเซียไทม์ส ระบุว่ากัมพูชาและไทย มีเหตุกระทบกระทั่งกันมาช้านานตามแนวชายแดนระยะทางกว่า 800 กิโลเมตร แนวเขตแดนที่ส่วนใหญ่ถูกลากขึ้นในยุคสมัยที่ฝรั่งเศสยึดครองอินโดจีน
สื่อมวลชนแห่งนี้ชี้ว่าความน่าสนใจของเหตุปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชาก็คือ จีนเป็นผู้สนับสนุนตัวยงของกัมพูชา และสหรัฐฯให้การสนับสนุนไทยมาช้านาน และมันอาจทำให้ภูมิภาคแห่งนี้กลายเป็นอีกหนึ่งจุดร้อนในความเป็นคู่อริระหว่างอเมริกากับจีน
แรงสนับสนุนที่จีนมอบให้แก่กัมพูชา พบเห็นได้จากความช่วยเหลือมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและความมั่นคงของระบอบการปกครอง แต่เริ่มมีความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆเกี่ยวกับการพึ่งพิงที่ก่อให้เกิดหนี้และอิทธิพลทางทหารของจีน ยูเรเซียไทม์สระบุ ในทางกลับกันสหรัฐฯให้การสนับสนุนไทยในฐานะพันธมิตรอย่างเป็นทางการ ซึ่งความช่วยเหลือบ่อยครั้งเกี่ยวข้องกับหลักการประชาธิปไตย แม้จะเหินห่างกันไปในสมัยรัฐบาลไทยที่นำโดยคณะทหาร
กัมพูชาโน้มเอียงเข้าหาจีนอย่างมาก เพื่อถ่วงดุลเวียดนามและไทย ในขณะที่ไทยเลือกใช้แนวทางรักษาสมดุลด้วยความละเอียดอ่อน คบค้าสมาคมกับทั้ง 2 ชาติมหาอำนาจ เพื่อคงไว้ซึ่งเอกราชของตนเอง
ยูเรเซียไทม์ส ระบุว่าพลวัตนี้โหมกระพือการแข่งขันอย่างกว้างขวางระหว่างสหรัฐฯกับจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความเป็นพันธมิตรระหว่างกัมพูชากับจีนช่วยเสริมความเข้มแข็งแก่การวางรากฐานของปักกิ่งในภูมิภาคแห่งนี้ โดยเฉพาะในทะเลจีนใต้ ขณะที่ความเป็นพันธมิตรระหว่างสหรัฐฯกับไทย ช่วยเสริมความพยายามของวอชิงตันในการตอบโต้อิทธิพลของจีน
รายงานข่าวปิดท้ายว่าไทยเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญาเพียงชาติเดียวของสหรัฐฯในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พันธมิตรตามสนธิสัญญาที่มีมาตั้งแต่ปี 1954 และเป็นพันธมิตรนอกนาโตรายสำคัญมาตั้งแต่ปี 2003
(ที่มา:ยูเรเซียไทม์ส)