ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน มีความเป็นไปได้ที่จะประชุมหารือกันตามเสียงเรียกร้องที่มีมาอย่างยาวนานในสัปดาห์นี้ จากการเปิดเผยของทำเนียบขาวในวันจันทร์(2มิ.ย.) ในขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ดูเหมือนจะโหมกระพือขึ้นมาอีกรอบ
ทรัมป์ โหมกระพือความตึงเครียดรอบใหม่กับจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการกล่าวหาชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก ว่าละเมิดข้อตกลงหนึ่งๆ ที่นำมาซึ่งการที่ทั้ง 2 ประเทศลดเพดานมาตรการรีดภาษีตอบโต้กันไปมาเป็นการชั่วคราว
"ผู้นำทั้ง 2 น่าจะได้พูดคุยกันในสัปดาห์นี้" แคโรไลน์ ลีวิตต์ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาวบอกกับผู้สื่อข่าว หลังถูกถามว่า ทรัมป์ และ สี จะพูดคุยกันหรือไม่
ทรัมป์ และ สี ยังไม่เคยยืนยันว่าทั้ง 2 คนมีการติดต่อกันใดๆหรือไม่ นับตั้งแต่ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 5 เดือนก่อน แต่ที่ผ่านมา ทรัมป์ กล่าวอ้างบ่อยครั้ง ว่าจวนจะมีการพูดคุยทางโทรศัพท์กันแล้ว
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ ถึงขึ้นกล่าวอ้างระหว่างให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์ส ในเดือนเมษายน ว่า สี โทรศัพท์หาเขา อย่างไรก็ตามต่อมาทางปักกิ่งยืนยันว่าไม่เคยมีการพูดคุยทางโทรศัพท์ใดๆ
ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงเป็นส่วนใหญ่ในวันจันทร์(2มิ.ย.) ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่โหมกระพือขึ้นมาอีกรอบระหว่างสหรัฐฯกับจีน
เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน ทรัมป์ เปิดตัวมาตรการรีดภาษีทั่วโลกอย่างครอบคลุม กล่าวหาประเทศต่างๆ "ฉีกเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นชิ้นๆ" และทำให้เกิดความไม่สมดุลทางการค้า โดยที่จีนตกเป็นเป้าเล่นงานหนักหน่วงที่สุด
ปักกิ่งและวอชิงตัน เห็นพ้องกันเมื่อเดือนที่แล้ว ในการปรับลดมาตรการรีดภาษีตอบโต้กันไปมาเป็นการชั่วคราว 90 วัน หลังมีการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเจนีวา
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ และพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯในวอชิงตัน ในสัปดาห์ที่แล้ว กล่าวหา จีน กำลังละเมิดข้อตกลง โดย โฮเวิร์ด ลุตนิค กล่าวอ้างระหว่างแสดงความคิดเห็นกับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ ในวันอาทิตย์(1มิ.ย.) ว่าปักกิ่ง จงใจเตะถ่วงข้อตกลง
ปักกิ่ง ปฏิเสธคำกล่าวอ้างกำมะลอของสหรัฐฯในวันจันทร์(2มิ.ย.) และหล่าวหาวอชิงตัน กำลังบังคับใช้ "มาตรการจำกัดที่เลือกปฏิบัติต่างๆนานา"
นอกจากจีนแล้ว ทรัมป์ยังโหมกระพือความตึงเครียดกับคู่หูการค้าอื่นๆ ในนั้นรวมถึงสหภาพยุโรป ด้วยการประกาศเพิ่มเพดานภาษีเหล็กและอลูมีเนียมนำเข้า จาก 25% เป็น 50% เริ่มตั้งแต่วันพุธ(4มิ.ย.) เป็นต้นไป
(ที่มา:เอเอฟพี)