เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - ประธานวุฒิสภากัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุนเซนวันนี้(2 มิ.ย) แสดงความเศร้าเสียใจในการสูญเสียชีวิตของทหารกัมพูชาระหว่างการปะทะกับทหารไทยที่สื่อเขมรายงานอ้างเกิดในดินแดนกัมพูชาที่ Mom Bei เมื่อวันที่ 28 พ.ค และอ้างต่อว่าเหตุปะทะช่องบก จ.อุบลนี้เป็นการรุกรานอย่างรุนแรงต่ออธิปไตยกัมพูชา
ขแมร์ไทม์สของกัมพูชารายงานวันนี้(2 มิ.ย)ว่า ในระหว่างนั่งประชุมเป็นประธาน 2 สภาร่วมทั้งสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชาและวุฒิสภากัมพูชาเกิดขึ้นในวันจันทร์(2) ประธานวุฒิสภากัมพูชาซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาอย่างยาวนาน สมเด็จฮุน เซน ได้แสดงท่าทีต่อการสูญเสียของทหารกัมพูชา 1 นายที่ถูกทางทหารไทยสังหารระหว่างการปะทะที่ช่องบก จ. อุบลราชธานีเมื่อวันที่ 28 พ.ค
สื่อกัมพูชารายงานว่า เป็นเหตุการณ์ปะทะช่องบก จ.อุบลนี้เป็นการรุกรานอย่างรุนแรงต่ออธิปไตยกัมพูชา โดยตามรายงานระบุว่า เหตุเกิดขึ้นภายในดินแดนกัมพูชาที่พื้นที่ Mom Bei ปะทะแบบไม่เปิดเผยจากทหารไทย โดยใช้คำว่า “covet attack”
ในสภาพบว่าฮุนเซนได้ออกมาประณามการกระทำอย่างรุนแรงโดยขแมร์ไทม์สรายงานว่า ผู้นำกัมพูชาไม่พอใจที่ทหารเขมรเสียชีวิตและเขาเรียกร้องการตอบโต้ทันทีเพื่อปกป้องสิทธิและอธิปไตยของกัมพูชาไว้ด้วยทุกหนทาง
เขาประกาศกลางสภาการประชุมครั้งแรกว่า หากแม้ว่าฝ่ายไทยจะไม่ตกลงที่จะนำปัญหา Mom Bei (ช่องบก จ.อุบลราชธานี) ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และ ปราสาทตาควาย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ICJ ฝ่ายกัมพูชาจะยังคงยื่นเรื่องร้องไปพร้อมกับการตอบโต้ในบางรูปแบบ
ซึ่งช่องบกนี้เป็นพื้นที่ขนาด 12 ตารางกิโลเมตรติดต่อ 3 ประเทศได้แก่ไทย ลาว และกัมพูชาถือเป็นพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ทางการทหารที่สำคัญคล้ายกับ Suwalki Gap ความยาว 70 กิโลเมตรเชื่อมระหว่างคาลินินกราดของรัสเซียกับประเทศเบลารุส ลิทัวเนีย และโปแลนด์ ซึ่งเยอรมันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงได้ส่งกำลังทหารตัวเองไปประจำการถาวรนอกประเทศที่ลิทัวเนียในปีนี้
ขแมร์ไทม์สรายงานว่า นอกจากนี้ประธานวุฒิสภากัมพูชา สมเด็จฮุนเซนยังเรียกร้องไปยังทุกสถาบันและฝ่ายบริหารให้ออกแถลงการณ์สนับสนุนแผนรัฐบาลกัมพูชาต่อศาลอาญายุติธรรมระหว่างประเทศ ICJ ที่กรุงเฮก
กลางรัฐสภาวันจันทร์(2)ผู้นำกัมพูชาย้ำซ้ำหลายครั้งว่า พื้นที่ปะทะดังกล่าวเป็นของกัมพูชาพร้อมตั้งคำถามว่าเหตุใดฝ่ายไทยจึงสั่งฝ่ายกัมพูชาถอนออกไป
อ้างอิงจากบทความ Thailand and Cambodia: The Battle for Preah Vihearรายงานเมื่อวันที่ 1 ต.ค ปี 2009 บนเว็บไซต์ของ SPICE UNIT โครงการระหว่างประเทศและการศึกษาข้ามวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดของสหรัฐฯ
เป็นบทความจากการเปรียบเทียบประวัติศาสตร์เชิงศึกษาของผู้ช่วยศาสตราจารย์ John D. Ciorciari ประจำวิทยาลัยการศึกษานโยบายสาธารณะเจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด ประจำมหาวิทยาลัยมิชิแกน แอนน์ อาร์บอร์ (University of Michigan, Ann Arbor)
โดยในตอนหนึ่งของเนื้อหาความยาว 3 หน้าได้กล่าวถึงจุดยืนทางการเมืองของกัมพูชาที่ใช้ “ไทย” ในประเด็นข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหารเขาพระวิหารเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
“รัฐบาลกัมพูชาได้ใช้ประเด็นปัญหาเพื่อความได้เปรียบทางการเมือง การกระพือความไม่พอใจต่อไทยไม่ใช่เรื่องยากในกัมพูชาที่มีเป็นจำนวนมากต่างไม่พอใจจากที่คนเหล่านี้มองไทยว่ามีความเหนือกว่า(จากข้อเท็จจริงในปี 2003 เกิดขึ้นเมื่อนักแสดงหญิงชื่อดังของไทยได้ออกมาอ้างว่า นครวัดเป็นของประเทศไทย” ส่งผลทำให้มีการโจมตีผลประโยชน์ของไทยในกรุงพนมเปญอย่างต่อเนื่อง) ซึ่งทั้งนายกรัฐมนตรีฮุนเซน(ในเวลานั้น)และสมาชิกพรรคประชาชนกัมพูชา( Cambodian People’s Party) ของเขาใช้ประเด็นข้อพิพาทเขาพระวิหารเพื่อสนับสนุนแนวทางชาตินิยมเพื่อการเลือกตั้งในปลายกรกฎาคม”
ในบทความระบุว่า ปราสาทเขาพระวิหารแสดงถึงอิทธิพลศาสนาฮินดูที่แผ่อิทธิพลเหนือกษัตริย์ขอมโบราณในเวลานั้น และยังเป็นการสะท้อนถึงศาสนาพุทธด้วยเช่นกันที่ในเวลาต่อมาได้แผ่อิทธิพลไปทั่วบริเวณโดยรอบ
ในบทความกล่าวว่า “ถึงแม้จะมีที่มาจากขอมโบราณแต่ทว่ากลับพบว่า “ปราสาทเขาพระวิหาร” ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกัมพูชาเสมอไป เพราะพื้นที่บางครั้งได้ถูกปกครองหรือควบคุมโดยราชอาณาจักรสยามและรัฐไทยในเวลาต่อมา
การตัดสินจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ICJ เมื่อวันที่15 มิถุนายน 2505 ได้ประกาศปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา และต่อมาในปี 2554 กัมพูชายื่นคำขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วเมื่อปี 2505
บทความจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดชี้ว่า ที่ศาล ICJ ฝ่ายไทยยืนกรานว่าการศึกษาของฝรั่งเศสปี 1907 นี้ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายเนื่องมาจากไม่ได้รับคำรับรองจากคณะกรรมการทั้งสองฝ่ายร่วมกัน นอกจากนี้ฝ่ายไทยยังอ้างการควบคุมเหนือปราสาทเขาพระวิหารที่ว่า ตัวปราสาทนี้สามารถเข้าไปได้ง่ายกว่าหากเมื่อขึ้นจากฝั่งไทยเป็นข้อโต้แย้งที่เป็นหลักฐานที่กรุงเทพฯเชื่อว่า ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของไทย
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ICJ กลับค้นพบว่า ฝ่ายไทยยอมรับโดยพฤตินัยต่อการแบ่งดินแดนของฝรั่งเศสมาเกือบครึ่งศตวรรษ
โดยฝ่ายสยามในคณะกรรมการผสมแม้ 'ไม่ได้อนุมัติ' แผนที่ฝรั่งเศส แต่พวกเขากลับไม่เคยทำการสำรวจเองเพื่อแข่งขันเปรียบเทียบเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง