xs
xsm
sm
md
lg

นโยบายทรัมป์ทำให้‘คนเก่งด้านวิทย์’ตีจากสหรัฐฯ โดยที่จีนกลายเป็นคนได้ประโยชน์เต็มๆ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ตัง เมง กิต


นักวิทยาศาสตร์จีนกำลังอพยพออกจากสหรัฐฯกันเป็นแถว โดยที่จำนวนมากเดินทางกลับมาทำงานในประเทศจีน
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)

US brain drain handing the global talent war to China
by Tang Meng Kit
20/05/2025

นักวิทยาศาสตร์จีนที่เกิดความรู้สึกแปลกแยกสืบเนื่องจากนโยบายของคณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังอพยพออกจากอเมริกากันเป็นจำนวนไม่ใช่น้อยๆ การหลบลี้หนีภัยเช่นนี้กำลังปรับเปลี่ยนดุลทางด้านนวัตกรรมของโลกไปในทางที่ทำให้จีนเป็นฝ่ายได้เปรียบ

ความเป็นปรปักษ์กันระหว่างสหรัฐฯกับจีน [1] ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การปะทะกันในเรื่องภาษีศุลกากร, การสำแดงกำลังทางนาวี, และการการเผชิญหน้ากันทางการทูตเท่านั้นแล้ว แนวรบอีกแนวรบหนึ่งที่เงียบเชียบกว่า และละเอียดอ่อนยิ่งกว่ากำลังปรากฏออกมาให้เห็นกันแล้ว –แถมยังเป็นแนวรบที่กำลังปรับเปลี่ยนพลิกโฉมระเบียบโลก รวมทั้งกำลังเป็นตัวตัดสินผู้ชนะและผู้ปราชัยในอนาคต มันเป็นการแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงผู้คน [2] โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์, วิศวกร, และผู้บุกเบิกทางวิชาการ ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดจัดวางรูปโฉมของอนาคตขึ้นมา

ในการต่อสู้ช่วงชิงที่กำลังปรากฎขึ้นมาให้เห็นกันนี้ ผู้มีความรู้ความสามารถเปรียบเสมือนน้ำมันชนิดใหม่ ส่วนสายท่อส่งน้ำมันก็กำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อน เมื่อกระแสไหลเวียนของผู้มีความรู้ความสามารถซึ่งครั้งหนึ่งเคยเคลื่อนไปในทิศทางเดียว นั่นคือตรงไปยังสหรัฐอเมริกา เวลานี้กลับกำลังเกิดการกลับตาลปัตรเป็นตรงกันข้าม, มีการเปลี่ยนทิศทางแห่งวิชาชีพ, มีการสร้างสมดุลทางด้านนวัตกรรมกันใหม่, และมีการวาดแผนที่แห่งอำนาจและอิทธิพลของโลกกันใหม่

นักวิชาชีพทักษะสูงจำนวนหลายหมื่นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มีเชื้อสายจีน กำลังถอนตัวออกจากบรรดาสถาบันอเมริกัน เพื่อฉวยคว้าช่องทางโอกาสใหม่ๆ ทั้งในประเทศจีนและที่อื่นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้มีขนาดขอบเขตมากกว่าแค่การกลับตาลปัตรเสียด้วยซ้ำ มันคือการจัดสรรพลังสมองของโลกกันเสียใหม่ เป็นการจัดสรรที่กำลังปรับรูปพลิกโฉมบรรดาระบบนิเวศแห่งการวิจัย, และกำลังทำให้เกิดการเอนเอียงอย่างมองเห็นได้ชัดเจนในดุลแห่งนวัตกรรมของโลก

ในช่วงระหว่างปี 2010 ถึงปี 2021 มีนักวิทยาศาสตร์ที่กำเนิดในจีนเกือบๆ 20,000 คนอพยพออกไปจากสหรัฐฯ [3] และแนวโน้มนี้ยิ่งเร่งตัวขึ้นอีกภายหลังจากปี 2018 พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่นักวิจัยชั้นสองเลย แต่พวกเขาประกอบไปด้วยบุคคลที่มีผลงานดีเด่น [4] อย่างเช่น นักประสาทวิทยา เหยียน หนิง (Yan Ning) ซึ่งลาออกจากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน กลับไปเป็นผู้นำของสถาบันการแพทย์เซินเจิ้น (Shenzhen Medical Academy) และ กัง เฉิน (Gang Chen) วิศวกรระดับท็อปคนหนึ่งของเอ็มไอที ซึ่งเดินทางกลับไปยังมหาวิทยาลัยชิงหัว (Tsinghua University) ภายหลังได้รับการตรวจสอบพิสูจน์ในสหรัฐฯจนหลุดพ้นประดาข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการทำจารกรรม

ย่างเข้าสมัยที่สองแห่งการเป็นประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ บรรดานโยบายจำกัดเข้มงวดเรื่องวีซาเข้าสหรัฐฯ, แนวคิดอุดมการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ [5], และความระแวงสงสัยที่ถูกแปรเป็นการใช้มาตรการรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่านี้กำลังขับไล่ไสส่งเหล่าผู้มีความรู้ความสามารถระดับท็อปให้ออกจากสหรัฐฯ ไม่ใช่เป็นเสน่ห์ดึงดูดพวกเขาเอาไว้แต่อย่างใดเลย นโยบายที่เรียกกันว่า “แผนการริเริ่มจีน” (China Initiative) ซึ่งเคยใช้อยู่ในคณะบริหารทรัมป์สมัยแรก อาจจะปิดฉากลงไปแล้ว แต่ผลลัพธ์อันสยดสยองของมันยังดำรงคงอยู่ต่อมาอีก (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ “หมายเหตุผู้แปล” ข้างล่างนี้)

เวลานี้ พวกนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนตลอดจนชาวเอเชียอื่นๆ ซึ่งพำนักอยู่ในสหรัฐฯ ต่างเกิดความวิตกกังวลในเรื่องที่ถูกสอดส่องจับตามอง, ถูกตรวจตราจับผิดอย่างไม่เป็นธรรม, หรือกระทั่งถูกกล่าวโทษฟ้องร้องดำเนินคดี พร้อมๆ กันนั้นเอง มาตรการตัดหั่นงบประมาณด้านการวิจัย รวมทั้งการอุดหนุนทางการเงินที่ไม่มีความมั่นคง [6] ก็ทำให้สหรัฐฯมีเสน่ห์ดึงดูดลดน้อยลงไปเช่นกัน

ปัจจัยที่เข้ามาเสริมเติมสิ่งเหล่านี้อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ บรรยากาศทางวัฒนธรรม [7] โดยเฉพาะการเกิดความตึงเครียดจากกระแสอารมณ์ความรู้สึกต่อต้านชาวเอเชียที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอเมริกา สำหรับนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากแล้ว มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องของการได้รับความสนับสนุนทางการเงิน มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ และพวกเขากำลังรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่า พวกเขาไม่สามารถเกิดความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของดังกล่าวนี้ขึ้นมาได้ ในบรรยากาศปัจจุบันของสหรัฐอเมริกา

นอกจากนั้นแล้ว พวกเหตุผลส่วนตัวก็มีผลอย่างสำคัญมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกได้อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัว, ความชื่นชอบพึงพอใจทางวัฒนธรรม, และความปรารถนาที่จะสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นที่บ้านตัวเอง เหล่านี้คือแรงกระตุ้นอย่างแข็งแกร่งสำหรับผู้คนจำนวนมาก การตัดสินใจเลือกที่จะทำอะไรหรือเลือกที่จะไม่ทำอะไร ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องของอุดมการณ์แนวความคิดเสมอไป บางครั้งมันก็แค่เรื่องความสอดคล้องเหมาะสมในทางปฏิบัติเท่านั้นเอง

พวกสถาบันการศึกษาวิจัยในจีน อย่างเช่น มหาวิทยาลัยเวสต์เลค (Westlake University) และสถาบันการแพทย์เซินเจิ้น ให้คำมั่นสัญญาในเรื่องความมีอิสระในการดูแลตัวเอง พร้อมกับการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่อยู่ในระดับเวิลด์คลาส ดังนั้น สำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว เวลานี้การเดินทางกลับจีนไม่ได้เป็นการก้าวลงมาที่ต่ำอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือการก้าวขึ้นข้างบนต่างหาก

การควบคุม, เกียรติยศชื่อเสียง, และลัทธิชาตินิยม

การระดมเสาะหาและชักชวนรับสมัครผู้มีความรู้ความสามารถของประเทศจีน ถือเป็นเรื่องทางยุทธศาสตร์และก็เป็นเรื่องทางการเมือง [8] พวกนักวิทยาศาสตร์ได้รับการต้อนรับกลับบ้านในบรรยากาศของความเอิกเกริกและให้เกียรติอย่างสูง ทว่ามันก็มาพร้อมๆ กับความคาดหวังหลายอย่างหลายประการเช่นกัน ทั้งนี้ ความจงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผู้ที่เดินทางกลับบ้านทั้งหลายจะถูกบูรณาการเข้าไปอยู่ในเครือข่ายต่างๆ ซึ่งผสมผสานความเป็นผู้นำทางวิทยาศาสตร์กับการรวมตัวรวมกลุ่มในเชิงอุดมการณ์เข้าด้วยกัน

กระนั้นก็ตาม แม้กระทั่งภายในข้อจำกัดเหล่านี้ จีนก็ยังคงเสนอช่องทางสำหรับการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้วย รัฐบาลจีนนั้นทราบดีว่านวัตกรรมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้การบริหารจัดการแบบควบคุมจนถึงระดับยิบย่อยเต็มที่ ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มลงทุนไปในเรื่องของการลดระเบียบขั้นตอนที่ก่อให้เกิดความไร้ประสิทธิภาพ และการเสนอเส้นทางความก้าวหน้าทางอาชีพอย่างชัดเจน ผลลัพธ์ที่ออกมาแลดูเหมือนกับสิ่งที่มีความขัดแย้งภายในตัวมันเอง [9] นั่นคือ ระบบที่เรียกร้องต้องการเข้าไปควบคุม ทว่าก็ยึดโยงอยู่กับการริเริ่มสร้างสรรค์

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้เดินทางกลับบ้านทั้งหลายเหล่านี้ ยังทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์อันทรงพลัง สื่อมวลชนจีนวาดภาพการเดินทางกลับของพวกเขาในฐานะหลักฐานยืนยันให้เห็นจริงว่า จีนกำลังก้าวผงาดขึ้นมา ส่วนฝ่ายตะวันกกำลังเสื่อมทรุดลงไป เรื่องเล่าเช่นนี้ย่อมกระตุ้นเชิดชูลัทธิชาตินิยมและเป็นการสร้างความถูกต้องชอบธรรมให้แก่ระบอบปกครองของจีนในปัจจุบัน ทว่ารัฐบาลจีนนั้นทราบเป็นอย่างดีว่าการใช้ซอฟต์เพาเวอร์ตัวนี้สามารถที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ในทั้งสองทาง กล่าวคือ ผู้เดินทางกลับบ้านที่เกิดความผิดหวังโดยรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นไปตามที่ตนคาดหมายเอาไว้ อาจจะเปลี่ยนไปเป็นนักวิพากษ์วิจารณ์ระบอบปกครอง ดังนั้น การบูรณาการพวกเขาและการให้ความยกย่องนับถือพวกเขา จึงถือเป็นกุญแจสำคัญที่สุด

ช่วงเวลาเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามที่สำคัญขึ้นมาข้อหนึ่ง กล่าวคือ จีนกำลังเดินมาถึงจุดที่จะก่อให้เกิดการพลิกผันอย่างแท้จริง [10] ในเส้นทางก้าวผงาดขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจทางวิทยาศาสตร์รายหนึ่งของโลกแล้วหรือ? สำหรับบางคนบางฝ่าย เรื่องนี้มีความสำคัญในเชิงสัญลักษณ์ที่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง [11] ครั้งหนึ่งในอดีต เหมา เจ๋อตง เคยประกาศว่าประชาชนจีนกำลังก้าวขึ้นสู่เวทีโลกแล้ว ในวันนี้ การที่พวกนักวิทยาศาสตร์ระดับเวิลด์คลาส เดินทางกลับไปยังจีน สามารถที่จะมองได้ว่า เป็นการทำให้คำทำนายของ เหมา กลายเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ทว่าไม่ใช่โดยผ่านการปฏิวัติ หากแต่ผ่านการวิจัยค้นคว้าต่างหาก

ระบบนิเวศของเครือข่ายห้องแล็ปทดลอง, อุทยานการวิจัย, และมหาวิทยาลัย ที่กำลังเติบโตขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ของประเทศจีน กำลังผลิตวิทยาศาสตร์ระดับเวิลด์คลาสออกมา พวกสถาบันวิจัยระดับท็อปแดนมังกรก็กำลังไต่ขึ้นสู่อันดับสูงๆ ในการจัดลำดับระดับโลก ทั้งนี้ พวกนักวิจัยของจีนกำลังสามารถผ่าทะลวงทางตันทั้งในด้านการคำนวณเชิงควอนตัม (quantum computing), ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence หรือ เอไอ), และ ชีวการแพทย์ (biomedicine) ถ้าหากพวกเขายังสามารถยึดเส้นทางโคจรนี้เอาไว้ได้แล้ว ในไม่ช้าไม่นานจีนก็อาจจะเป็นคู่แข่งหรือกระทั่งแซงหน้าสหรัฐฯในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูงที่สุด

อย่างไรก็ดี เส้นทางนี้มิใช่เป็นสิ่งที่สามารถรับประกันว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนแล้ว ความเป็นผู้นำทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงนั้น เรียกร้องคุณสมบัติต่างๆ ทั้งในเรื่องการเปิดกว้าง, ความน่าเชื่อถือไว้วางใจ, และเสรีภาพทางวิชาการ ซึ่งล้วนเป็นคุณสมบัติที่เข้ากันได้ไม่สนิทกับคณะผู้นำทางการเมืองของจีน การผงาดขึ้นมาในด้านวิทยาศาสตร์ของจีนจะสามารถประคับประคองให้ยั่งยืนต่อไปได้หรือไม่ จะขึ้นอยู่กับวิธีการที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้บริหารจัดการกับความตึงเครียดเหล่านี้

นี่คือการเริ่มต้นของศตวรรษใหม่แห่งวิทยาศาสตร์จีน หรือว่าเป็นเพียงแค่จุดสูงสุดของการคลอดออกมาก่อนกำหนดกันแน่? คำตอบจะขึ้นอยู่กับว่าจีนใช้วิธีการเช่นใดในการสร้างความสมดุลระหว่างความทะเยอทะยานระดับชาติของตน กับคุณสมบัติและบรรทัดฐานทางวิทยาศาสตร์ระดับโลก

สำหรับสหรัฐฯ การสูญเสีย [12] พวกนักวิจัยระดับท็อปไปเช่นนี้คือภัยคุกคามอย่างชัดเจนต่อความได้เปรียบในทางนวัตกรรมของพวกเขา, เพิ่มความเสี่ยงว่าจะสามารถฝ่าทะลวงสร้างความก้าวหน้าใหม่ๆ ในอนาคตทั้งในด้านเอไอ, เทคโนโลยีชีวภาพ, และเทคโนโลยีสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้สำเร็จหรือไม่ นอกจากนั้นมันยังทำให้ซอฟต์เพาเวอร์อเมริกันอ่อนแอลงอีกด้วย มหาวิทยาลัยของอเมริกันนั้นเคยได้รับการยกย่องเชิดชูว่าเป็นมาตรฐานทองคำสำหรับทั่วโลก ทว่าบัดนี้แสงรัศมีเรืองรองดังกล่าวกำลังซีดจางลงไปเรื่อยๆ

ในทางตรงกันข้าม จีนคือผู้ที่กำลังเก็บเกี่ยวผลดีมีประโยชน์ที่แท้จริงต่างๆ [13] จากการที่ผู้เดินทางกลับบ้านกำลังขับดันให้เกิดความก้าวหน้าในภาคนวัตกรรมสำคัญๆ เวลาเดียวกันนั้น พวกมหาวิทยาลัยจีนก็กำลังไต่อันดับระดับโลกสูงขึ้นๆ ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนทำให้ปักกิ่งสามารถนำไปใช้โน้มน้าวให้เห็นดีเห็นงามได้ว่า ความสำเร็จเช่นนี้คือเครื่องพิสูจน์ถึงความเหนือชั้นกว่าของระบบของพวกเขา

พิจารณากันเป็นภาพรวมของทั่วโลก สิ่งที่เกิดขึ้นมาเหล่านี้กำลังทำให้ การไหลเวียนของผู้มีความรู้ความสามารถ มีการเคลื่อนที่ไปทั่วอย่างคล่องแคล่วยิ่งกว่าเดิม การไหลเวียนของมันสมอง ซึ่งไม่ใช่จำกัดอยู่แค่เรื่องสมองไหลเท่านั้น กำลังก่อให้เกิดศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่ๆ ขึ้นมาในสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น สิงคโปร์, เยอรมนี, และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศเหล่านี้กำลังได้รับประโยชน์จากพวกนักวิจัยที่รู้สึกผิดหวังทั้งจากวอชิงตันและจากปักกิ่ง ด้วยเหตุนี้เอง โลกวิทยาศาสตร์จึงกำลังอยู่ในลักษณะกระจายตัวออกจากศูนย์กลางกันมากขึ้น และมีการแข่งขันกันสูงขึ้นด้วย

ทว่ามันก็มีลักษณะของการแตกแยกแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายกันมากขึ้นด้วยเช่นกัน [14] ขณะที่การร่วมมือประสานงานกันระหว่างสหรัฐฯ-จีนพังครืนลงมา ยุโรปและชาติอื่นๆ ก็กำลังถูกบีบบังคับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ให้ต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างไหนในทางภูมิรัฐศาสตร์ โลกวิทยาศาสตร์จึงกำลังเกิดการแตกแยกอย่างช้าๆ แต่แน่นอน ออกไปเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ๆ ไม่กี่กลุ่มที่คอยแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน

สหรัฐฯตกเป็นฝ่ายรับ

ในการตอบโต้ของสหรัฐฯ พวกเขาก็ตกเป็นฝ่ายรับ [15] นโยบายต่างๆ ทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ อย่างเช่น โครงการ 2025 (Project 2025) และมาตรการควบคุมการส่งออก ต่างกำหนดจุดมุ่งหมายเอาไว้ที่การตั้งกำแพงขวางกั้นไม่ให้ต่างชาติเข้าถึงพวกเทคโนโลยีสำคัญๆ ระดับเป็นตายของสหรัฐฯ ทว่าความคิดจิตใจแบบตั้งป้อมค่ายเช่นนี้อาจก่อผลด้านลบขึ้นมาด้วยซ้ำ ถ้าหากมันทำให้บรรดาผู้มีความรู้ความสามารถนานาชาติเกิดความรู้สึกแปลกแยกมากขึ้นไป ยิ่งถ้าหากว่ามีการใช้นโยบายเช่นนี้กันจนเลยเถิด สหรัฐฯก็จะพบอย่างง่ายดายว่าตัวเองถูกโดดเดี่ยวในการแข่งขันด้านนวัตกรรมระดับโลก

มหาวิทยาลัยสหรัฐฯบางแห่งและผู้นำวงการเทคบางรายกำลังพยายามออกแรงผลักดันตอบโต้กลับ โดยกำลังเรียกร้องให้ดำเนินการปฏิรูปการออกวีซา และเพิ่มความสนับสนุนแก่พวกนักศึกษาและนักวิชาการระหว่างประเทศให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อปราศจากความเป็นผู้นำจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯตลอดจนวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน อาการลอยเคว้งคว้างและความรู้สึกแปลกแยกจากสหรัฐฯของพวกผู้มีความรู้ความสามารถ ก็คือสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะดำเนินต่อไปภายใต้คณะบริหารทรัมป์

เวลาเดียวกัน จีนกลับกำลังลงเรี่ยวลงแรงเพิ่มขึ้นอีกในการดึงดูดผู้มีความรู้ความสามารถให้กลับบ้าน พวกเขามองผู้เดินทางกลับบ้านว่า เป็นเพลเยอร์ตัวหลักๆ ในแผนการริเริ่ม “ฝันไกลหวังสูง” ทั้งหลายของพวกเขา ตั้งแต่เรื่องการคำนวณเชิงควอนตัม ไปจนถึงเรื่องเทคโนโลยีสีเขียว ปัญหาท้าทายสำคัญยิ่งสำหรับปักกิ่งคือการประคับประคองให้คงการเปิดกว้างเอาไว้อย่างเพียงพอ เพื่อรักษาคุณภาพด้านนวัตกรรมให้มีชีวิตยืนยาวต่อไปได้ โดยขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความมั่นใจในเรื่องความจงรักภักดี

ประเทศอื่นๆ ก็กำลังพยายามหยิบฉวยจังหวะโอกาสนี้เอาไว้ในกำมือด้วยเหมือนกัน ทั้ง แคนาดา, ออสเตรเลีย, และหลายๆ ส่วนของยุโรปต่างกำลังปรับปรุงกระบวนการอพยพเข้าประเทศสำหรับผู้ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ให้มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงอาจจะไม่ใช่โลกที่มีเพียงสองขั้ว หากแต่เป็นโลกที่มีหลายๆ ขั้ว โดยเกิดศูนย์กลางทางนวัตกรรมเป็นหย่อมๆ กระจัดกระจายออกไป แทนที่โมเดลเก่าซึ่งรวมศูนย์กระจุกตัวอยู่เฉพาะที่สหรัฐอเมริกา

สำหรับสหรัฐฯเอง หากต้องการหลีกหนีให้พ้นจากสภาพเช่นนี้ ก็จำเป็นจะต้องลงมือปฏิบัติการอย่างเด็ดขาด การปฏิรูประบบการรับผู้อพยพคือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ [16]โดยครอบคลุมไปถึงเรื่องการออกกรีนการ์ดให้สิทธิพำนักอาศัยและทำงานแก่พวกผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในสาขาสะเต็มศึกษา (STEM วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม, และคณิตศาสตร์) ทำกระบวนการพิจารณาออกวีซาให้สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งข้อความออกไปอย่างชัดเจนว่ายินดีต้อนรับผู้มีความรู้ความสามารถ การต่อสู้กำจัดลัทธิเหยียดเชื้อชาติต่อต้านคนเอเชีย [17] ในแวดงวงวิชาการและแวดวงวิชาชีพก็ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญระดับเป็นตายเช่นกัน

นอกจากนั้นแล้ว สหรัฐฯยังต้องกลับมาให้คำมั่นผูกพันอีกคำรบหนึ่งในเรื่องที่ภาคสาธารณะจะลงทุนในทางวิทยาศาสตร์ โดยไม่เพียงเฉพาะแค่ให้บรรลุพวกเป้าหมายทางทหารเท่านั้น แต่เพื่อร่วมส่วนในการผลักดันความก้าวหน้าของมนุษย์อีกด้วย การสร้างความร่วมมือประสานงานกันระดับโลกขึ้นมา ไม่ใช่คอยฉีกทิ้งทำลายสิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวช่วยให้สามารถรักษาความไว้เนื้อเชื่อใจและรักษาผู้มีความรู้ความสามารถเอาไว้ได้

ประเทศจีนก็ต้องก้าวย่างไปอย่างระมัดระวังเช่นกัน การทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นประเด็นทางการเมืองอย่างเลยเถิด มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นการทำลายนวัตกรรมซึ่งพวกเขาเสาะแสวงหากันเหลือเกิน จีนจำเป็นจะต้องพิทักษ์ปกป้องเสรีภาพทางวิชาการ, ส่งเสริมการวิจัยแบบสหวิทยาการ, และเปิดทางให้สถาบันต่างๆมีอิสระในการดูแลตัวเองเพิ่มขึ้นอีกมาก

ประเทศอื่นๆ ก็น่าที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการบ่มเพาะสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมซึ่งเอื้ออำนวยให้พวกนักวิทยาศาสตร์สามารถเจริญเติบโต โดยไม่คำนึงว่าพวกเขามีกำเนิดเป็นคนชาติใด วิทยาศาสตร์นั้นมีคุณสมบัติประจำตัวคือมันเป็นของทั่วโลก และประเทศใดก็ตามซึ่งเคารพยึดมั่นอยู่กับหลักการนี้ก็จะประสบความสำเร็จอย่างมากมายกว่าที่คาดหมายกันไว้ ในระยะเวลาหลายๆ ทศวรรษต่อจากนี้ไป

โลกกำลังเป็นพยานรู้เห็นการปฏิวัติที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ขณะที่ภาวะสมองไหลของโลกแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นภาวะการไหลเวียนของสมอง สมมุติฐานเก่าๆ ที่บอกว่าฝ่ายตะวันตกคือที่หยุดพักสุดท้ายสำหรับผู้มีความรู้ความสามารถนั้น ไม่ได้เป็นความจริงอีกต่อไปแล้ว

ประเทศจีนกำลังเขียนกฎกติกาการเล่นขึ้นมาใหม่ ส่วนสหรัฐฯกำลังอยู่ในความเสี่ยงที่จะพาตัวเองให้หายออกไปจากเกมการแข่งขัน ผู้ที่จะชนะจะต้องเป็นพวกซึ่งรับรู้รับทราบว่าผู้มีความรู้ความสามารถในทั่วโลกนั้น มุ่งเสาะแสวงหาความจริง, โอกาส, และอีกสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญพอๆ กัน ได้แก่ การได้รับความเคารพนับถือ

ในโลกใหม่ของการแข่งขันช่วงชิงกันในระดับโลก มันไม่ใช่เป็นเรื่องเพียงแค่ว่าใครจะเป็นผู้สร้างชิปที่ทำงานได้เร็วที่สุด หรือใครจะเป็นผู้ค้นพบวัคซีนสำคัญตัวต่อไป แต่มันเป็นเรื่องของผู้ที่ประชาชนเชื่อถือไว้วางใจให้เป็นผู้สร้างอนาคต โดยที่ประชาชนมีความเต็มอกเต็มใจที่จะทำงานเพื่อมุ่งหน้าสู่อนาคตดังกล่าว

ตัง เมง กิต เป็นชาวสิงคโปร์ที่สำเร็จการศึกษาระดับมหาบัณฑิตในโปรแกรมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ณ วิทยาลัย เอส. ราชารัตนัม เพื่อการระหว่างประเทศศึกษา (S. Rajaratnam School of International Studies หรือ RSIS) แห่งมหาวิทยาลัยนานยางเทคโนโลยี (Nanyang Technological University หรือ NTU) ประเทศสิงคโปร์ เขามีความสนใจในการวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวัน-จีนแผ่นดินใหญ่, การเมืองและประเด็นทางด้านนโยบายของไต้หวัน, รวมทั้งเทคโนโลยีการบินและอวกาศ ปัจจุบันเขาทำงานเป็นวิศวกรด้านการบินและอวกาศ

เชิงอรรถ
[1]https://rsisinternational.org/journals/ijriss/articles/talent-competition-under-the-new-pattern-of-sino-us-competition-from-the-perspective-of-international-relations/
[2] https://www.intelligentliving.co/why-chinese-scientists-leaving-us-stem/
[3] https://asiatimes.com/2024/10/brain-drain-contest-chinas-1000-talents-vs-us-soft-power/
[4] https://www.chemistryworld.com/news/scientists-of-chinese-descent-leaving-the-us-at-an-accelerating-pace/4017831.article
[5]https://www.scmp.com/news/china/diplomacy/article/3302294/us-house-republicans-poised-introduce-bill-block-chinese-student-or-research-visas
[6]https://www.rdworldonline.com/might-u-s-rd-spending-crumple-in-2025-and-beyond-likely-not-by-much/
[7]https://www.chinadaily.com.cn/a/202503/23/WS67e01a6fa310c240449dc5d5.html
[8]https://www.scmp.com/news/china/science/article/3308793/china-taps-private-sector-sci-tech-leaders-expanded-academic-recruitment-drive
[9]https://rsc.nuist.edu.cn/2021/0608/c1097a178491/pagem.psp
[10] https://www.economist.com/science-and-technology/2024/06/12/china-has-become-a-scientific-superpower
[11]https://www.andrewleunginternationalconsultants.com/chinawatch/2024/06/china-has-become-a-scientific-superpower-.html
[12] https://tech.co/news/report-us-ai-brain-drain
[13]https://www.scmp.com/news/china/science/article/3298697/us-research-hub-heart-brain-drain-scientists-returning-china-study-finds
[14]https://www.scmp.com/news/china/science/article/3270675/us-anti-china-wall-built-around-science-backfired-america-report
[15] https://ww2.aip.org/fyi/project-2025-outlines-possible-future-for-science-agencies
[16] https://www.nafsa.org/issue-brief-keep-stem-talent-act-2025
[17] https://www.csis.org/analysis/innovation-lightbulb-not-just-attracting-retaining-international-stem-students

หมายเหตุผู้แปล
“แผนการริเริ่มจีน” (China Initiative) เป็นโปรแกรมของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯที่มุ่งฟ้องร้องลงโทษพวกที่ถูกมองว่ามีศักยภาพจะเป็นสปายสายลับของจีนในแวดวงการวิจัยและในอุตสาหกรรมอเมริกัน ในความพยายามที่จะสู้รบปราบปรามการจารกรรมทางเศรษฐกิจ แผนการนี้ซึ่งเริ่มเปิดการรณรงค์ในเดือนพฤศจิกายน 2018 โดยเล็งเป้าเล่นงานพวกนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์จีน-อเมริกันคนสำคัญๆ จำนวนหลายร้อยราย ซึ่งมีประมาณ 250 รายต้องสูญเสียตำแหน่งงานของพวกเขาไป ขณะที่จำนวนมากกว่านั้นอีกที่อาชีพการงานของพวกเขาต้องมัวหมองได้รับผลกระทบในทางลบ การกล่าวโทษฟ้องร้องเช่นนี้ยังมีส่วนทำให้เกิดการฆ่าตัวตายอย่างน้อยที่สุด 1 ราย

การกล่าวโทษฟ้องร้องเช่นนี้ ยังเป็นสิ่งที่มีส่วนทำให้กรณีการใช้ความรุนแรงเล่นงานชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปี 2019ถึง 2020 และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนโยบายที่มีอคติทางเชื้อชาติอีกทั้งไร้ประสิทธิภาพ บางคดีที่ดำเนินการภายใต้ แผนการริเริ่มจีน ยึดโยงอยู่กับหลักฐานผิดพลาดที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) เป็นผู้จัดหาให้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯอ้างว่า ได้ยุติโปรแกรมนี้ไปแล้วในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2022 โดยเหตุผลสำคัญที่สุดคือเป็นผลจากที่แผนการนี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพฤติการณ์มุ่งคัดกรองทางเชื้อชาติที่กระทำกับพลเมืองอเมริกันเชื้อสายจีน ตลอดจนผู้มีถิ่นพำนักในสหรัฐฯซึ่งมีต้นกำเนิดหรือมีบรรพบุรุษเป็นชาวจีนอื่นๆ อย่างไรก็ดี ยังคงมีเสียงเรียกร้องโดยรัฐบาลสหรัฐฯให้ฟื้นฟูโปรแกรมนี้ขึ้นมาใหม่ แผนการริเริ่มจีนได้ส่งผลทำให้พวกนักวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื้อจีนทรงอิทธิพลไม่ใช่น้อยๆ เลย ตัดสินใจอพยพออกจากสหรัฐฯ โดยจำนวนมากทีเดียวกลับไปพำนักอาศัยในประเทศจีน ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/China_Initiative)

กำลังโหลดความคิดเห็น