(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)
Trump’s coming currency war has Asia in its sights
by William Pesek
22/05/2025
พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯบอกว่า ในการเจรจาต่อรองเรื่องอัตราภาษีศุลกากรกับบรรดาชาติคู่ค้าเอเชีย จะไม่มีการพิจารณาเรื่องให้ประเทศเหล่านี้ต้องปรับค่าสกุลเงินตราของพวกเขาให้แข็งขึ้นด้วยเมื่อเทียบกับดอลลาร์อเมริกัน อย่างไรก็ดี 0kdการที่ทรัมป์เป็นผู้นิยมชมชอบเหลือเกินให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอีก กลับเป็นเครื่องบ่งชี้ไปในอีกทางหนึ่ง
โตเกียว - ตลาดการเงินของเอเชียในตอนนี้ ถ้าหากมีช่วงเวลาของการเป็นตลาดกระทิงคึกคัก มันก็จะเป็นด้วยอารมณ์ฝันเฟื่องที่ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง เนื่องจากบรรดารัฐบาลของภูมิภาคแถบนี้มีความเชื่ออย่างผิดๆ ว่า พวกเขาสามารถที่จะหลบหลีกการปะทะขัดแย้งทางด้านค่าเงินตราอย่างใหญ่โตมโหฬารชนิดกลายเป็นตำนาน กับทำเนียบขาวของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สำเร็จ
พวกเจ้าหน้าที่ทั้งที่อยู่ในโตเกียว, โซล, ปักกิ่ง, ตลอดจนที่อื่นๆ ต่างอ้างว่าพวกเขาได้รับการบอกกล่าวจากผู้ที่เชื่อถือได้ว่า พวกเขาสามารถที่จะกันเอาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของพวกเขา ให้แยกขาดออกจากการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าอาการหลงเชื่อผิดๆ กันทั้งกลุ่ม [1] เช่นนี้มาจากไหน แต่มันเพียงพอแล้วที่จะพูดว่า การทะเลาะเบาะแว้งกันเกี่ยวกับมูลค่าของเงินเยน, วอน, และ หยวน กำลังจะปรากฏให้เห็นแล้ว
เรื่องอย่างเดียวกันนี้ยังน่าที่จะเกิดขึ้นกับเงินรูเปียะห์อินโดนีเซีย, เงินบาทไทย, และ เงินด่งเวียดนาม ขณะที่เราสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทีมเจรจาการค้าของทรัมป์กำลังพยายามหาทางเขย่าเอเชียให้ยอมคลายอะไรออกมาให้มากที่สุด
เหตุผลประการหนึ่งที่พวกรัฐบาลในเอเชียต่างอยู่ในโหมดปฏิเสธไม่เห็นด้วยว่าทีมเจรจาการค้าสหรัฐฯจะต้องพยายามบีบบังคับพวกเขาให้เข้าสู่การปรับค่าสกุลเงินตราของพวกเขาให้แข็งขึ้นนั้น สืบเนื่องจากสิ่งที่พวกเขากำลังได้ยินได้ฟังมาจาก สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ทั้งนี้อย่างน้อยที่สุดก็ในขณะนี้แหละ ขุนคลังสหรัฐฯผู้นี้คือหน้าตาของทีมทรัมป์ในความรู้สึกรับรู้กันในเอเชีย
กระนั้นก็ตาม เบสเซนต์เป็นเพียง “ตำรวจดี” ที่เล่นบทคู่ไปกับ ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการค้าและอุตสาหกรรมการผลิตของประธานาธิบดีทรัมป์) ซึ่งแสดงตัวเป็น “ตำรวจเลว” โดยที่มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า นาวาร์โร น่าจะเป็นผู้ที่ได้แสดงความเห็นสุดท้ายเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากหัวข้อนี้เขากับทรัมป์มีความคิดไปในทิศทางเดียวกันมากกว่า
อย่างที่ เอเชีย กำลังเรียนรู้จากประสบการณ์อันแสนเจ็บปวด [2] ทรัมป์นั้นเป็นคนที่เปลี่ยนความคิดเรียกได้ว่าในทุกๆ หัวข้อ แถมยังเปลี่ยนอยู่เป็นประจำและสม่ำเสมอ ทั้งนี้อาจจะมียกเว้นก็แต่ความเชื่อซึ่งยืนยาวมา 5 ทศวรรษของเขาที่ว่า เอเชียกำลังโจรกรรมเอาตำแหน่งงานและความมั่งคั่งรุ่งเรืองของชาวอเมริกันไป –โดยที่บ่อยครั้งกระทำผ่านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
ในช่วงทศวรรษ 1980 ถ้าหากพูดกันให้เฉพาะเจาะจงลงไปเลย มันก็คือญี่ปุ่นนั่นแหละที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เขาที่เวลานั้นมีฐานะเป็นเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อยู่ในนิวยอร์ก ไม่ว่าจะเป็นรายการทอล์กโชว์ทางทีวีหรือทางวิทยุ น้อยครั้งเหลือเกินที่ ทรัมป์ จะพลาดโอกาสในการคร่ำครวญด้วยอารมณ์เดือดดาลในเรื่องที่ญี่ปุ่นได้ “ดูดเลือด” จากบรรดาครัวเรือนชาวอเมริกันอย่างไรบ้าง
ตอนนั้นเองคือช่วงเวลาที่มีการทำ “ความตกลงพลาซา” (Plaza Accord) ปี 1985 ขึ้นมา อันเป็นดีลที่ได้ส่งให้เงินเยนมีค่าพุ่งปริ๊ดเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ มันเป็นอะไรบางอย่างซึ่ง ทรัมป์ วาดหวังที่จะสามารถกระทำซ้ำอีกครั้ง โดยในคราวนี้ จะเป็นการบีบบังคับเอากับจีน
ทรัมป์นั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งเคยเป็นเจ้าของโรงแรมนิวยอร์กพลาซา (New York Plaza Hotel) โรงแรมหรูหราเก่าแก่ระดับตำนานซึ่งใช้เป็นสถานที่ลงนามข้อตกลงฉบับสำคัญดังกล่าว โดยที่ ความตกลงพลาซา นี้เอง ได้รับการพิจารณาในเวลาต่อมาว่า มันคือเมล็ดพันธุ์ของฝันร้ายสยดสยองแห่งภาวะเงินฝืดซึ่งญี่ปุ่นต้องเผชิญในตลอดช่วงทศวรรษ 1990 เวลานี้เขาก็กำลังพยายามวางแผนหาทางให้ได้ข้อตกลงเพื่อทำให้ค่าเงินหยวนแข็งโป๊กขึ้นมาทำนองเดียวกัน ณ การเจรจาที่รีสอร์ตส่วนตัว มาร์-อา-ลาโก (Mar-a-Lago) ในรัฐฟลอริดาของเขา
“พวกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดจะคอยเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดเพื่อมองหาสัญญาณใดๆ ก็ตามที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคณะบริหารทรัมป์กำลังพยายามหาทางทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนตัวลงมา” เป็นคำกล่าวของ แคโรล คอง (Carol Kong) นักยุทธศาสตร์ด้านการค้าเงินตราของธนาคารคอมมอนเวลธ์แห่งออสเตรเลีย (Commonwealth Bank of Australia)
อย่างไรก็ดี จีนเวลานี้ย่อมรู้อะไรดีๆ มากมายกว่าญี่ปุ่นในทศวรรษ 1980 พรรคคอมมิวนิสต์จีนของ สี จิ้นผิง [3] ทุ่มเทเวลาเป็นปีๆ ทีเดียว ในการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบต่อเนื่องจากดีลฉบับปี 1985 ดังกล่าว ซึ่งยังคงส่งผลในทางบ่อนทำลายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ไม่ต้องดูอะไรอื่นไกลไปเลย ขอเพียงมองถึงสภาพที่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (Bank of Japan) ไร้ความสามารถที่จะผลักดันอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นให้สูงเกิน 0.5% ในตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา หลังจากแดนอาทิตย์อุทัยต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืดครั้งแรก ก็ย่อมเกิดความซาบซึ้งเพียงพอแล้ว
แทบไม่มีความเสี่ยงอะไรอีกแล้วที่จะทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนของ สี รู้สึกเกรงกลัวมากไปกว่าการหล่นลงไปใน “กระบวนการทำให้กลายเป็นญี่ปุ่น” (Japanification) ด้วยเหตุดังนี้เอง ความหวังใดๆ ก็ตามที ที่ ทรัมป์, เบสเซนต์, หรือ นาวาร์โร คาดเอาไว้ว่าจะต้องผลักดันให้ค่าเงินหยวนพุ่งพรวดขึ้นไปให้ได้ จึงแทบจะเป็นการแน่นอนทีเดียวว่าจะถูกปักกิ่งหลบเลี่ยงปฏิเสธไม่เอาด้วย นอกจากนั้นแล้ว ไม่เหมือนกับญี่ปุ่นในตอนยอมทำความตกลงพลาซา จีนนั้นไม่ได้เป็นสมาชิกของกลุ่ม 7 ชาติอุตสาหกรรมสำคัญของโลก (G7) ความพยายามใดๆ ที่จะบีบบังคับให้ปักกิ่งขึ้นค่าเงินตราจึงอาจเจอการตอบโต้ด้วยความพยายามอย่างแข็งกร้าวกว่านั้นอีกของแดนมังกร เพื่อตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ให้จงได้
ถึงแม้มันอาจจะยังไม่ใช่สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ดีเยี่ยมที่สุดสำหรับจีน แต่พรรคคอมมิวนิสต์ของสี ก็อาจตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่า ถ้าหาก ทรัมป์ ยืนกรานที่จะขยับตัวมุ่งหน้าสู่เป้าหมายที่เขาต้องการ จีนก็จะตอบโต้ด้วยการใช้เครื่องมือวิธีการทุกอย่างที่กระทำได้ โดยถือหลักว่าการทำให้สำเร็จได้ตามเป้าหมาย คือเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่เครื่องมือวิธีการที่นำเอามาใช้
กระทั่งสำหรับญี่ปุ่นในเวลานี้ก็เช่นเดียวกัน ดูเหมือนพวกเขาอยู่ห่างไกลเหลือเกินจากการยอมเปิดประตูเพื่อเจรจาหารือให้ค่าเงินเยนแข็งยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับอยู่ห่างไกลมากจากการแสดงอาการรีบร้อนเพื่อให้สามารถทำข้อตกลงการค้าทวิภาคีกับอเมริกาโดยเร็ว กระทั่งยินยอมอ่อนข้อทำตามเงื่อนไขซึ่งทรัมป์มุ่งมาดปรารถนา อย่างที่นายกรัฐมนตรี ชิเกรุ อิชิบะ ของแดนอาทิตย์อุทัย แถลงในรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า “เราจะไม่เดินตามประเทศอื่นๆ เพียงเพราะว่าพวกเขากำลังขยับตัวไปข้างหน้าแล้ว แน่นอนทีเดียว เราจะต้องคำนึงถึงข้อจำกัดต่างๆ ทางด้านเวลาด้วยในระหว่างทำการเจรจา แต่เราไม่มีความตั้งใจใดๆ ที่จะประนีประนอมยอมอ่อนข้อสละผลประโยชน์แห่งชาติของเรา จนกระทั่งยึดติดตรึงแน่นกับเรื่องกรอบเวลาจนมากเกินไป”
ทรัมป์จะต้องไม่รู้สึกชอบอกชอบใจกับจุดยืนเช่นนี้ของ อิชิบะ [4] มันช่างเป็นโลกที่ห่างไกลสุดกู่จากยุคทรัมป์ 1.0 ที่ประมุขทำเนียบขาวผู้นี้สามารถปลาบปลื้มยินดีกับการประจบประแจงที่ได้รับจาก ชินโซ อาเบะ ซึ่งอันที่จริงก็มาจากพรรคลิเบอรัล เดโมเครติก ปาร์ตี้ (Liberal Democratic Party) เช่นเดียวกับ อิชิบะ ทั้งนี้ในเวลานั้น นายกรัฐมนตรีอาเบะ เอาอกเอาใจทรัมป์แบบที่ต้องเรียกกันว่าฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายมาก มีการมอบของขวัญหรูหราต่างๆ ให้เขา และกระทั่งเสนอชื่อเขาเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพด้วยซ้ำ
อิชิบะ มีความแตกต่างออกไปอย่างมากมาย นี่เป็นอะไรที่ทีมทรัมป์กำลังเรียนรู้เก็บรับประสบการณ์หลังเผชิญกับความยากลำบาก อย่างที่ อิชิบะ เสนอเหตุผลโต้แย้งว่า การทำข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคีนั้น เป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อน, วกไปเวียนมาเหมือนเขาวงกต, และกินเวลายาวนาน ไม่เหมือนกับเมื่อปี 2019 เอาเสียเลย ในตอนนั้น ทรัมป์ ที่ไม่อยากอดทนรอต่อไป ได้รีบตกลงทำ “ดีล” กับโตเกียว โดยให้ยกเว้นภาครถยนต์ ซึ่งดูมีปัญหาซับซ้อนกว่าเพื่อน
อย่างไรก็ดี สามารถกล่าวได้ว่าสิ่งที่ ทรัมป์ ทำอยู่ในเวลานี้ คือการเดินหมากใช้กลเม็ดที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าหากเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่มีเหตุมีผลมากกว่านี้ ย่อมจะต้องมีการเชื้อเชิญทั้ง อิชิบะ, พวกผู้นำของเกาหลีใต้ และชาติเอเชียที่เศรษฐกิจอยู่ในระดับท็อปรายอื่นๆ มายังทำเนียบขาว เพื่อรวมตัวจัดตั้งเป็นแนวร่วมขึ้นมาคัดค้านวิธีปฏิบัติทางการค้าของจีน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สร้างความรำคาญใจให้แก่ทรัมป์เช่นกัน ยิ่งกว่านั้น ทรัมป์ที่มีเหตุมีผลยังจะต้องดึงเอายุโรปเข้ามร่วมในการหารือเหล่านี้ด้วย
ทว่า นี่ย่อมไม่ใช่สไตล์ของประมุขทำเนียบขาวคนที่นำสหรัฐฯถอนตัวออกมาจาก ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership หรือ TPP) ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว ความตกลงฉบับนั้นก็คือดีลมุ่งสร้างแนวร่วมทางการค้าเพื่อต่อต้านจีนนี่แหละ จนกระทั่งวันที่ทรัมป์นำสหรัฐฯถอนตัวออกจาก TPP ในปี 2017 ได้กลายเป็นหนึ่งในช่วงขณะดีเยี่ยมที่สุดของระยะเวลาแห่งการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาสิบกว่าปีของ สี ไปเลย
ความเป็นไปได้ประการหนึ่งที่ควรต้องเฝ้าติดตามกันก็คือ ทรัมป์อาจรู้สึกเหน็ดหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆ กับกลยุทธ์ถ่วงเวลาของ อิชิบะ และเริ่มต้นกระหน่ำโจมตีผู้นำญี่ปุ่นคนนี้บนโซเชียลมีเดีย รวมทั้งในระหว่างการพูดคุยกับพวกนักข่าวชนิดที่ต้องตะโกนกันดังๆ เพื่อเอาชนะเสียงเครื่องยนต์เครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี ในเวลาที่ทรัมป์เดินทางไปไหนต่อไหนโดยหอบหิ้วสื่อมวลชนไปด้วย เรื่องเช่นนี้ยังอาจจะรวมไปถึงการที่กระทรวงการคลังของทรัมป์จะประกาศประทับตราญี่ปุ่นว่าเป็น “ประเทศนักปั่นค่าเงินตรา” (currency manipulator) [5] ซึ่งจะต้องตามมาด้วยมาตรการแซงก์ชั่นลงโทษอันน่าสะพรึงกลัว
เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่พวกเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นย่อมต้องกระตือรือร้นที่จะบริหารจัดการกับประเด็นปัญหาเรื่องค่าเงินตรานี้ตั้งแต่เนิ่นๆ มีรายงานว่ารัฐมนตรีคลัง คัตสึโนบุ คาโตะ (Katsunobu Kato) วางแผนการที่จะหาโอกาสสำหรับการเจรจาหารือเรื่องเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์-เยน กับขุนคลังเบสเซนต์ของสหรัฐฯ ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่ม G7 ที่แคนาดา ในวันที่ 21-22 พฤษภาคมนี้
(หมายเหตุผู้แปล - สำนักข่าวจีจิ เพรส ของญี่ปุ่น รายงานข่าวในวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯแถลงในวันดังกล่าวว่า รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ ของสหรัฐฯ และรัฐมนตรีคลัง คัตสึโนบุ คาโตะ ของญี่ปุ่น ไม่ได้มีกาหารือเกี่ยวกับเรื่องระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ในระหว่างที่ทั้งคู่พบเจรจากันในการประชุมข้างเคียง ที่ประชุมขุนคลังกลุ่ม G7 ที่แคนาดา เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม โดยรัฐมนตรีคลังทั้งสอง “ยืนยันอีกครั้งถึงความเชื่อที่พวกเขามีอยู่ร่วมกันที่ว่า อัตราแลกเปลี่ยนควรให้ตลาดเป็นผู้วินิจฉัยตัดสิน และ ณ ปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์-เยน อยู่ในระดับที่สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานแล้ว”
ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nippon.com/en/news/yjj2025052200267/)
เวลานี้มีความสงสัยข้องใจแพร่สะพัดไปทั่วว่า ทรัมป์กำลังกดดัน เบสเซนต์ –ซึ่งเป็นมือเก่ามากประสบการณ์ในเรื่องการบริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ จึงน่าจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนดีกว่าทรัมป์ – ให้หาทางทำค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงมาให้ได้ และเมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงในตลาดที่เวลานี้เงินดอลลาร์ถูกแรงบีบคั้นให้ลดค่าลงมาเรื่อยๆ จึงเป็นที่ชัดเจนว่าพวกเทรดเดอร์ไม่ได้เชื่อถือคำปฏิเสธเสียงแข็งจากประดาเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯที่บอกว่า พวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะหยิบยกประเด็นนี้มากดดันพวกเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติของบรรดาชาติเอเชีย
ตัวทรัมป์เองนั้น แน่นอนอยู่แล้วว่ากำลังหาทางทำให้ค่าเงินดอลลาร์ภายในสหรัฐฯเองอ่อนตัวลงไปอีก หนทางหนึ่งก็คือการกระทุ้งให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve หรือ Fed เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็คือลดต้นทุนของการกู้ยืมภายในสหรัฐฯลงมา เขากระทั่งออกมาข่มขู่ว่าจะปลดประธานเฟด เจอโรม เพาเวลล์ (Jerome Powell) ด้วยซ้ำหากยังไม่ยอมขยับเรื่องนี้ อีกหนทางหนึ่งที่ทรัมป์อาจกระทำ ได้แก่ การเกลี้ยกล่อมให้ทีมงานของเบสเซนต์ ลดค่าเงินดอลลาร์โดยลำพังฝ่ายเดียว ซึ่งอาจจะกระทำได้ด้วยวิธีเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
หรือกระทั่งใช้วิธีการที่รุนแรงยิ่งกว่านั้นอีก อย่างการประกาศหยุดพักชำระหนี้สินของสหรัฐฯ ทั้งนี้อย่าลืมว่าระหว่างการตระเวนรณรงค์หาเสียงเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ทรัมป์ได้กล่าวแบบตั้งข้อสังเกตขึ้นมาว่า “ผมขอบอกกับชาวรีพับลิกันทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้น –ท่าน ส.ส. ท่านวุฒิสมาชิกทั้งหลาย— ถ้าพวกเขา (สมาชิกรัฐสภาของพรรคเดโมแครต)ไม่ยอมตัดลด (ยอดงบประมาณ) ให้พวกคุณลงมาเยอะๆ แล้ว พวกคุณจะต้องประกาศหยุดพักการชำระหนี้เสียเลย” [6]
ทรัมป์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ผมไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะยินยอมประกาศหยุดพักชำระหนี้ เพราะผมคิดว่าลงท้ายแล้วพวกเดโมแครตจะต้องยินยอมอ่อนข้อแน่นอน จะต้องยินยอมอ่อนข้อในท้ายที่สุด เพราะพวกคุณทั้งหลายต่างก็ไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมา แต่มันจะเป็นการดีกว่านะถ้าพวกเราจะทำสิ่งที่ถูกต้องนี้กันตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะเรากำลังใช้จ่ายเงินทองอย่างกับพวกกะลาสีเรือขี้เมา”
สำหรับตอนนี้ พวกผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ดูเหมือนว่ากำลังต้องแบกรับภาษีรถยนต์ในอัตรา 25% ของทรัมป์กันอยู่ แต่ว่าจะทนไปได้ยาวนานแค่ไหนกัน? เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา การส่งออกยานยนต์ของญี่ปุ่นตกลงมา 5.8% เมื่อดูกันที่มูลค่า
“พวกโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตของญี่ปุ่นนั้นมีการบูรณาการกับห่วงโซ่อุปทานระดับโลกอย่างล้ำลึกมาก ดังนั้นนโยบายการค้าที่มีความเสี่ยงจากการพลิกกลับไปกลับมาอย่างนี้ จึงกำลังก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บที่จะกระจายถ่ายเทออกไปทั้งทั้งระบบเศรษฐกิจ เป็นการสร้างความเสียหายให้แก่อัตราการเติบโต” นี่เป็นความเห็นของ สเตฟาน แองริค (Stefan Angrick) นักวิเคราะห์ผู้หนึ่งของ มูดีส์ อะนาลิติกส์ (Moody’s Analytics) “มองโดยภาพรวมแล้ว พวกโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตของญี่ปุ่นจึงต่างกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่โหดมาก”
ยูตาโร ซูซูกิ (Yutaro Suzuki) นักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทหลักทรัพย์ไดวา ซีเคียวริตีส์ (Daiwa Securities) ก็ชี้ว่า การส่งออกไปยังสหรัฐฯกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ทว่านับตั้งแต่มีการขึ้นภาษีศุลกากร [7] ตอนนี้เราก็กำลังมองเห็น “ความเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม” ซูซูกิ บอก
นอกจากนั้นแล้ว ปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ก็ไม่ได้อยู่ข้างเงินดอลลาร์เลย ในขณะที่ยอดหนี้สินแห่งชาติของสหรัฐฯเอียงโซซัดโซเซมุ่งไปสู่ระดับ 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังที่ทีมนักยุทธศาสตร์ของแบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) เขียนวิเคราะห์เอาไว้ว่า “ฉากทัศน์ที่ค่าเงินดอลลาร์ต้องเข้าสู่ภาวะตลาดหมีในเชิงโครงสร้าง กำลังเริ่มปรากฏให้เห็นกันแล้ว กล่าวคือ พวกนักลงทุนกำลังขบคิดทบทวนกันใหม่เกี่ยวกับการถือครองสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องพัวพันกับสหรัฐฯซึ่งมีการประกันความเสี่ยงเอาไว้น้อยเกินไป เรื่องนี้อาจนำไปสู่การปรับมูลค่าดอลลาร์ให้ต่ำลงมาอย่างยืดเยื้อ”
เส้นทางโคจรทางการคลังเช่นนี้ของสหรัฐฯ ได้เร่งรัดให้ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส (Moody’s Investors Service) [8] ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯลงมาจากระดับสูงสุด นั่นคือ AAA เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าความเคลื่อนไหวเช่นนี้หมายความว่าเวลานี้บริษัทเครดิตเรตติ้งยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง 3 ราย ต่างถอดสหรัฐฯออกจากอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุดกันทุกรายแล้ว (โดยที่ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส ประกาศดาวน์เกรดตั้งแต่ปี 2011 และ ฟิตช์ ในปี 2023 -ผู้แปล) เช่นนี้ ยังคงไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการเทขายตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ อย่างพันธบัตรคลังสหรัฐฯ (US Treasuries) กันอย่างดุเดือด แต่มันก็ “ถูกแสงสปอตไลต์สาดส่องให้เห็นถึงทิศทางแนวโน้มทางการคลังที่เสื่อมทรุดลงเรื่อยๆ อีกทั้งสภาพเช่นนี้ยังเกิดขึ้นในจังหวะเวลาตอนที่ตลาดกำลังต้องพยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับความเสี่ยงทางการคลังต่างๆ อยู่ก่อนแล้ว” นี่เป็นความเห็นของ เดวิด เมอริเคิล (David Mericle) หัวหน้านักเศรษฐกิจที่ดูแลเรื่องสหรัฐฯ ของ โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs)
จอร์จ ซาราเวลอส (George Saravelos) หัวหน้าระดับทั่วโลกของฝ่ายวิจัยตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราที่ ดอยช์ แบงก์ (Deutsche Bank) ชี้ว่า “ความกระหายที่หดหายไปมากของอารมณ์ปรารถนาจะเข้าถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ เมื่อผสมผสานกับความจำกัดเข้มงวดของกระบวนการทางงบประมาณของสหรัฐฯซึ่งถูกล็อกอยู่ในภาวะการขาดดุลที่สูงลิ่ว คือสิ่งซึ่งกำลังทำให้ตลาดมีความหงุดหงิดไม่สบายใจเป็นอย่างมาก”
นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไม แลร์รี ซัมเมอร์ส (Larry Summers) รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯในสมัยประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน จึงเสนอความคิดเห็นออกมาว่า “เรากำลังถูกปฏิบัติจากตลาดการเงินทั่วโลก เหมือนกับว่าเป็นชาติตลาดเกิดใหม่ที่เต็มไปด้วยปัญหารายหนึ่ง”
โจอานา เฟรเร (Joana Freire) นักเศรษฐศาสตร์ของ ยูริซอน เอสแอลเจ แคปิตอล (Eurizon SLJ Capital) กล่าวเตือนเอาไว้ในบันทึกสั้นส่งถึงลูกค้าว่า สินทรัพย์มูลค่าราวๆ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งพวกผู้ส่งออกและพวกนักลงทุนระดับสถาบันของเอเชียตุนเอาไว้ “คือความเสี่ยงที่จะอาจทำให้เงินดอลลาร์ลดค่าลงมาอย่างแรงๆ เมื่อแลกเปลี่ยนกับพวกสกุลเงินตราเอเชียเหล่านี้”
โอกาสที่ดอลลาร์จะอ่อนตัวลง ยังคงเพิ่มขึ้นมาอย่างเข้มข้น แม้กระทั่งเมื่อสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนทำท่าผ่อนคลายลงมา “การลดความตึงเครียดในเรื่องการค้าลงมา ถือเป็นการขจัดปัดเป่าลมปะทะที่พัดใส่เงินดอลลาร์ไปได้อย่างสำคัญในระยะสั้น แต่สำหรับผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะกลางและในระยะยาว [9] แล้ว จะยังคงเป็นที่รู้สึกกันต่อไปอีกในช่วงไม่กี่อาทิตย์ไม่กี่เดือนข้างหน้า” เป็นความเห็นของ วิน ทิน (Win Thin) นักยุทธศาสตร์การลงทุนของ บราวน์ บราเธอร์ส แฮร์ริแมน (Brown Brothers Harriman)
ด้าน โอซามุ ทาเกชิมะ (Osamu Takashima) นักยุทธศาสตร์การลงทุนของ ซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ก็ชี้ว่า กระทั่งในกรณีที่วอชิงตันไม่ได้ “เดินหน้าดำเนินการในเชิงรุก” เพื่อทำให้ค่าดอลลาร์อ่อนตัวลง แต่เส้นทางโคจรของสกุลเงินตรานี้ก็จะยังเป็นขาลงอยู่ดี สืบเนื่องจาสถานะทางการเงินของสหรัฐอเมริกา
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ในการประมูลขายพันธบัตรคลังสหรัฐฯอายุไถ่ถอน 20 ปี ปรากฏผลว่ามีอุปสงค์ความต้องการซื้ออ่อนตัวลงมากอย่างสังเกตเห็นได้ มันย่ำแย่เสียจนกระทั่งได้รับการจับตาสนใจจากพวกสมาชิกรัฐสภาระดับท็อปของสหรัฐฯ ส.ส.ชิป รอย (Chip Roy) จากรัฐเทกซัส ซึ่งเป็น 1 ในบุคคลแนวหน้าของพวกสายเหยี่ยวด้านงบประมาณของพรรครีพับลิกัน เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นคราวนี้ว่า เป็น “การประมูลขายพันธมิตรที่ผลออกมาน่าสยดสยอง” เป็นลางบอกเหตุอย่างหนึ่งสำหรับเรื่องแย่ๆ ที่จะติดตามมา
แมริออส ฮัดจีคีริอาคอส (Marios Hadjikyriacos) นักวิเคราะห์การลงทุนอาวุโสของบริษัทหลักทรัพย์ เอ็กซ์เอ็ม (XM) ก็มีความคิดเห็นว่า ผลการประมูลที่ออกมาอย่างเลวร้ายเช่นนี้ “แน่นอนทีเดียวว่ายิ่งเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่ความคิดเห็น” ที่ว่า “ดุลแห่งอำนาจดูเหมือนกำลังเคลื่อนตัวไปในทิศทางหนุนแนวโน้มที่ว่าอัตราผลตอบแทน (ยีลด์ yield) พันธบัตรจะต้องเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่มีการออกตราสารหนี้ “อย่างควบคุมไม่อยู่” เช่นเดียวกับสภาพการขาดดุลของรัฐบาล
กระนั้นก็ตาม ยังคงเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่า การที่ในปีนี้ค่าเงินดอลลาร์ได้หล่นลงมาเกือบ 9% [10] แล้วเมื่อเทียบกับเงินเยน และต่ำลง 9.5% เมื่อเทียบกับเงินยูโรป รวมทั้งตกลงมา 6.9%เมื่อเทียบกับเงินวอนเกาหลี จะเป็นที่พออกพอใจของทรัมป์หรือยัง
ทรัมป์นั้น ดูเหมือนต้องการให้ค่าเงินดอลลาร์ลดฮวบลงมาอย่างชัดเจนมากกว่านี้อีก ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนเปรียบเทียบกับสกุลเงินตราสำคัญใดๆ โดยไม่แยแสสนใจว่าผลกระทบของการที่ค่าเงินของคนอื่นแข็งโป๊กขึ้นนี้ จะสร้างความลำบากอย่างไรบ้างให้แก่พวกเศรษฐกิจในเอเชียซึ่งต่างต้องพึ่งพาอาศัยการส่งออกกันทั้งนั้น
คำแนะนำสำหรับบรรดารัฐบาลในเอเชียก็คือ มันจะเป็นการฉลาดกว่าที่จะเล่นเกมแบบกล้าเผชิญหน้า ขณะกำลังนั่งลงบนโต๊ะเจรจาต่อรองเรื่องอัตราภาษีศุลกากรกับคณะบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์
เชิงอรรถ
[1] https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-05-14/us-is-not-negotiating-for-weaker-dollar-as-part-of-tariff-talks
[2] https://asiatimes.com/2025/05/the-statistical-truth-about-american-stagnation/
[3] https://asiatimes.com/2025/04/with-trumps-push-china-changing-its-relations-with-the-world/
[4] https://asiatimes.com/2025/05/crunch-time-for-japan-as-tariffs-elections-loom/
[5] https://www.reuters.com/markets/currencies/us-treasury-finds-no-currency-manipulation-final-biden-era-foreign-exchange-2024-11-14/
[6] https://abcnews.go.com/Politics/debt-ceiling-trump-default/story?id=116955286
[7] https://asiatimes.com/2025/05/why-trumps-china-trade-war-retreat-may-be-fleeting/
[8] https://asiatimes.com/2025/05/moodys-downgrade-rings-alarm-on-asias-dollar-assets/
[9] https://www.businessinsider.com/bond-yields-selloff-us-debt-treasury-yields-trump-tax-bill-2025-5
[10] https://www.bloomberg.com/quote/USDJPY:CUR