การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ตกอยู่ในภาวะ "หยุดชะงักเล็กน้อย" และการนำพาข้อตกลงใดๆก้าวผ่านเส้นชัย ดูเหมือนจะต้องการการเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งอเมริกา และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน จากการเปิดเผยของ สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯในวันพฤหัสบดี(29พ.ค.)
การเจรจาที่นำโดย เบสเซนต์ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน สามารถฝ่าทางตันก่อข้อตกลงยุติสงครามการค้าเป็นการชั่วคราวระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามล่าสุดรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ในวันพฤหัสบดี(29พ.ค.) ว่านับตั้งแต่นั้นมีความคืบหน้าล่าช้า แม้คาดหมายว่าจะมีการพูดคุยเพิ่มเติมในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้
"ผมเชื่อว่าบางทีเราอาจอยู่ในจุดที่จำเป็นต้องมีการต่อโทรศัพท์พูดคุยกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี" เบสเซนต์กล่าว "สืบเนื่องจากขนาดความสำคัญของการเจรจา เนื่องจากความซับซ้อน มันอาจจำเป็นต้องมีผู้นำทั้ง 2 เข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุยกับอีกฝ่าย" เขาระบุ "พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และผมมั่นใจว่าจีนจะยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจา เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ทำให้รู้ถึงความต้องการของเขา"
ข้อตกลงระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เลื่อนรีดภาษีในตัวเลข 3 หลัก ออกไปเป็นเวลา 90 วัน สร้างความโล่งใจครั้งใหญ่แก่พวกนักลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก แต่มันยังไม่ได้จัดการแก้ไขใดๆในเหตุผลหลักที่ทรัมป์กำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ในขณะที่สหรัฐฯส่งเสียงคร่ำครวญมาช้านาน เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและครอบงำโดยภาครัฐของจีน ส่งผลให้จำเป็นต้องเจรจาในเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม
นับตั้งแต่มีข้อตกลงในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม รัฐบาลทรัมป์มุ่งเน้นให้ความสำคัญไปที่การเจรจาเพดานภาษีกับคู่หูการค้าหลักอื่นๆ ในนั้นรวมถึงอินเดีย ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ ขู่รีดภาษีสินค้านำเข้าจากอียู 50% ต่อก็เลื่อนบังคับใช้ออกไปในเวลาต่อมา
เมื่อวันพุธ(28พ.ค.) ศาลคดีการค้าแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ พิพากษาว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต ในการกำหนดมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและประเทศอื่นๆ ภายใต้กฎหมายอำนาจฉุกเฉินฉบับหนึ่ง แต่ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ศาลอุทธรณ์กลางได้คืนสถานะมาตรการรีดภาษี บอกว่าระงับคำตัดสินของศาลคดีการค้า ในระหว่างพิจารณาคำอุทธณ์ของรัฐบาล พร้อมออกำสั่งให้ฝ่ายโจทก์ตอบสนองคำพิพากษาภายในวันที่ 5 มิถุนายน ส่วนรัฐบาล มีเวลาจนถึงวันที่ 9 มิถุนายน
(ที่มา:รอยเตอร์)