xs
xsm
sm
md
lg

ไทยได้อานิสงส์!ศาลสหรัฐฯสั่งห้ามทรัมป์รีดภาษีโลก พิพากษาใช้อำนาจเกินขอบเขตปธน.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศาลด้านการค้าแห่งหนึ่งของสหรัฐฯในวันพุธ(28พ.ค.) ขัดขวางมาตรการรีดภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากการมีผลบังคับใช้ พิพากษาว่าผู้นำรายนี้ใช้อำนาจเกินขอบเขต ด้วยการกำหนดเพดานภาษีอย่างครอบคลุมกับสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ ที่ขายสินค้าให้อเมริกา มากกว่าที่ซื้อจากวอชิงตัน

คณะผู้พิพากษา 3 ท่าน ณ ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเป็นศาลเล็กๆในแมนฮัตตัน ตัดสินในวันพุธ(28พ.ค.) ให้ ทรัมป์ หยุดรีดภาษีนานาชาติ ที่เขากำหนดขึ้นโดยอ้างอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉิน ในนั้นรวมถึงการบังคับใช้เพดานภาษีศุลกากร “Liberation Day” หรือ "วันปลดปล่อย" ที่ประกาศขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน

นอกจากนี้แล้วศาลยังห้าม ทรัมป์ จากการบังคับใช้มาตรการรีดภาษีที่กำหนดเล่นงาน จีน, เม็กซิโก และ แคนาดา ก่อนหน้านั้นในช่วงต้นปี โดยเพดานภาษีดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้ขัดขวางการไหลบ่าของยาเสพติด "เพนตานิล" เข้าสู่สหรัฐฯ

คำพิพากษาของศาลที่เป็นคำสั่งห้ามถาวร อาจทำให้มาตรการรีดภาษีโลกของทรัมป์ต้องหยุดชะงัก ตั้งแต่ก่อนหน้าการเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาคู่หูการค้าอื่นๆทั้งหลาย นั่นหมายความว่ามตรการรีดภาษีส่วนใหญ่ของทรัมป์ แม้ไม่ใช่ทั้งหมด จะอยู่ในภาวะหยุดนิ่ง

คำสั่งนี้เป็นการระงับมาตรการรีดภาษีของทรัมป์ ที่กำหนดเล่นงานจีน 30%, สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาบางส่วน 25% เช่นเดียวกับเพดานภาษีพื้นฐาน 10% ที่กำหนดเล่นงานสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ อย่างไรก็ตามมาตรการรีดภาษี 25% ที่กำหนดเล่นงานยานยนต์, ชิ้นส่วนยานยนต์, เหล็กและอลูมีเนียมนำเข้า ยังคงมีผลต่อไป เนื่องจากมันอยู่ภายใต้มาตรา 232 ของกฎหมายขยายการค้า ต่างจากกฎหมายที่ทรัมป์ใช้อ้างอิงสำหรับรีดภาษีในวงกว้าง

คดีดังกล่าวยื่นฟ้องร้องโดยศูนย์ยุติธรรมลิเบอร์ตีที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เมื่อเดือนเมษายน รวมถึงตัวแทนของกลุ่มผู้ค้าไวน์VOS Selections และธุรกิจขนาดเล็กอื่นๆอีก 4 ธุรกิจ ที่อ้างว่าพวกเขาต้องเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากมาตรการรีดภาษี โดยคณะผู้พิพากษามีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในคำตัดสินครั้งนี้

"เราชนะ รัฐออริกอนและฝ่ายโจทก์ของรัฐก็ชนะเช่นกัน" อิลยา โซมิน ศาสตราจารย์ด้ายกฎหมายแห่งสถาบันกฎหมายสคาเลีย ลอว์ แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ เมสัน และทนายความฝ่ายโจทก์กล่าวกับซีเอ็นเอ็น "ความเห็นในคำพิพากษาระบุว่าระบบทั้งมวลของวันปลดปล่อยภาษีและมาตรการรีดภาษีอื่นๆตามอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉิน ไม่ชอบด้วยกฎหมายและถูกห้ามโดยคำสั่งห้ามถาวร"

เมื่อวันที่ 2 เมษายน ทรัมป์ แถลงมาตรการรีดภาษีตอบโต้ กำหนดเพดานภาษีสูงลิ่วกับสินค้านำเข้าจากนานาประเทศ ในนั้นรวมถึงบรรดาคู่หูทางการค้าใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากนั้น เขาได้ระงับบังคับใช้เป็นเวลา 90 วัน ในวันที่ 9 เมษายน โดยเหลือเพียงเพดานภาษีพื้นฐาน 10% ที่เขากำหนดกับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ

ทรัมป์ บังคับใช้มาตรการรีดภาษีเหล่านี้โดยปราศจากความเห็นชอบของสภาคองเกรส ผ่านกฎหมายอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ ที่ให้อำนาจประธนาธิบดีดำเนินการตอบโต้ภัยคุกคามที่ไม่ปกติ นอกจากนี้แล้ว ทรัมป์ ยังอ้างกฎหมายอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉิน ในการกำหนดเพดานภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 20% และ 25% สำหรับสินค้านำเข้าหลายรายการจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งออกแบบมาเพื่อเล็งเป้าจัดการกับการลักลอบขนยาเฟนตานิลเข้าสู่อเมริกา

อย่างไรก็ตามการฝ่ายโจทก์กล่าวอ้างว่า ใช้อำนาจของรัฐบาลทรัมป์ไม่เข้าเกณฑ์ของเหตุฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังชี้ด้วยว่ากฎหมายอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉิน ไม่ได้ให้อำนาจกำหนดเพดานภาษีตั้งแต่แรก และแม้กระทั่งมีความพยายามตีความให้เป็นเช่นนั้น "มันก็จะไม่มีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ"

ศาลการค้าระหว่างประเทศในแมนฮัตตันระบุว่า รัฐธรรมนูญสหรัฐฯมอบอำนาจพิเศษแก่รัฐสภาในการควบคุมการค้ากับประเทศอื่นๆ ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมอำนาจฉุกเฉินของประธานาธิบดีในการปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐฯ และศาลสรุปในคำพิพากษาว่า ทรัมป์ ไม่มีอำนาจในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อกำหนดมาตรการรีดภาษีเหล่านี้

ทำเนียบขาวยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ ในขณะที่ทางโฆษก แฮร์ริสัน ฟิลด์ส เคยบอกก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขขาดดุลการค้ากับประเทศอื่นๆ เข้าองค์ประกอบของ "สถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ"

คำพิพากษาล่าสุดนี้อาจช่วยบรรดาธุรกิจขนาดเล็กทั่วอเมริกา ซึ่งจำนวนมากกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ท่ามกลางต้นทุนที่พุ่งทะยาน สืบเนื่องจากมาตรการรีดภาษี

(ที่มา:ซีเอ็นเอ็น/รอยเตอร์)


กำลังโหลดความคิดเห็น