ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันพุธ(28พ.ค.) เผยจะบอกกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล ให้ระงับการโจมตีที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน ในขณะที่เขาส่งเสียงในแง่บวกเกี่ยวกับการเจรจานิวเคลียร์ ที่เวลานี้รัฐบาลของเขากำลังพูดคุยกับเตหะราน
อิหร่านแย้มว่าพวกเขาอาจพิจารณาเปิดทางให้ฝ่ายอเมริกาเข้าตรวจสอบที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของพวกเขา ส่วนหนึ่งในหน่วยงานเฝ้าระวังทางนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ ถ้าบรรลุข้อตกลงหนึ่งๆกันได้
เมื่อถูกถามว่าระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า เขาจะบอกกับเนทันยาฮูหรือไม่ ว่าไม่ควรดำเนินการใดๆที่อาจก่อความปั่นป่วนแก่ความพยายามทางการทูต ทรัมป์ตอบว่า "ผมขอพูดด้วยความสัตย์จริงเลย ใช่ผมจะทำ"
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าเขาจะบอกกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอลอย่างไร ทรัมป์ตอบว่า "ผมจะบอกว่า ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เรากำลังมีการพูดคุยหารือที่ดีมากๆกับอิหร่าน ผมจะบอกกับเขาว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่จะลงมือในตอนนี้ เพราะว่าเราใกล้ได้ทางออกมากๆแล้ว ผมคิดว่าพวกเขาต้องการทำข้อตกลง และถ้าเราสามารถทำข้อตกลง มันจะช่วยรักษาชีวิตไว้ได้จำนวนมาก"
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เตหะรานและวอชิงตัน เปิดเจรจาที่มุ่งเน้นไปที่ประเด็นดังกล่าวไปแล้ว 5 รอบ ในการติดต่อระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ทรัมป์ ถอนสหรัฐฯออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่อิหร่านทำไว้กับรรดาชาติมหาอำนาจในปี 2015 และเจรจาโดยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา
ระหว่างเดินทางเยือนกาตาร์เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ทรัมป์ แสดงมุมมองในแง่บวกเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงใหม่กับอิหร่าน ที่ช่วยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางทหาร
อิสราเอล มองอิหร่าน ซึ่งให้การสนับสนุนพวกนักรบฮามาสในกาซา ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ โดยอิสราเอลขู่ซ้ำๆว่าจะโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของเตหะราน หลังจากเล่นงานระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านเป็นชุดๆ ในการสู้รบกันโดยตรงที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
อิหร่าน ปฏิเสธข้อกล่าวหาของตะวันตกที่ว่าพวกเขากำลังแสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ โดยยืนยันว่ามันเป็นโครงการเพื่อสันติล้วนๆ และมีจุดประสงค์ในทางพลเรือน
ทรัมป์ ซึ่งถอนสหรัฐฯออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ในปี 2018 กลับมากำหนดมาตรการคว่ำบาตรอย้างกว้างขวางเล่นงานเตหะราน ในนั้นรวมถึงกดดันทุกประเทศไม่ให้ซื้อน้ำมันของอิหร่าน
"ประเทศต่างๆที่เป็นปรปักษ์กับเราและเป็นตัวแทนของความไร้หลักการมานานหลายปี เราพยายามมาตลอดที่จะไม่ยอมรับคณะผู้ตรวจสอบจากประเทศเหล่านี้" โมฮัมหมัด เอสลามี หัวหน้าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านบอกกับผู้สื่อข่าว อ้างถึงเจ้าหน้าที่จากทบวงปรมาณูสากล(IAEA) "แต่เราจะพิจารณาทบทวนยอมรับคณะผู้ตรวจสอบอเมริกาผ่านหน่วยงานแห่งนี้ ถ้าบรรลุข้อตกลงหนึ่งๆ และข้อเรียกร้องของอิหร่านถูกนำไปพิจารณา"
ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน ของอิหร่าน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเดินทางเยือนโอมานอย่างเป็นทางการ กล่าวขอบคุณรัฐอ่าวอาหรับแห่งนี้ สำหรับความพยายามเป็นคนกลางระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี 1979
อับบาส อารากชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านและหัวหน้าคณะเจรจา ซึ่งเดินทางเยือนโอมานพร้อมกับประธานาธิบดีเปเซชเคียน บอกว่า "วันเวลาของการเจรจารอบใหม่ น่าจะมีความชัดเจนขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า"
แม้แสดงความยินดีต่อการเจรจา แต่พวกเจ้าหน้าที่อิหร่านเคยประกาศกร้าวซ้ำๆว่าการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม "เป็นสิ่งที่ไม่อาจต่อรองได้" ในขณะที่พวกเจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์ ยืนยันอย่างเปิดเผยว่าจะไม่ยอมให้อิหร่านเสริมสมรรถนะยูเรเนียมใดๆ แม้กระทั่งในระดับต่ำตามที่ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 อนุญาต สำหรับวัตถุประสงค์ทางพลเรือนก็ตาม
ปัจจุบัน อิหร่านได้เสริมสมรรถนะยูเรเนียมจนเป็นวัสดุฟิสไซล์ที่มีความบริสุทธิ์สูงถึง 60% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเหนือกว่าประเทศใดๆที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบคตรอง แม้อัตรานี้ยังคงต่ำกว่าระดับ 90% ที่จำเป็นสำหรับอาวุธนิวเคลียร์ แต่มันถือว่าก้าวห่างไปไกลมากจากข้อจำกัด 3.67% ภายใต้ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015
(ที่มา:เอเอฟพี)