xs
xsm
sm
md
lg

สหรัฐฯเพลามือ‘สงครามการค้า’ แต่ยังคงเดินหน้า ‘แยกขาดทางยุทธศาสตร์’ จากจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เจฟฟ์ เปา


พวกผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจีน สามารถส่งผลิตภัณฑ์ของพวกเขาไปยังสหรัฐฯโดยถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรอัตรา 50% ในช่วงเวลา 90 วันจากนี้ไป ตามข้อตกลงซึ่งสหรัฐฯกับจีนทำกันไว้ที่เจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์ ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)

US eases trade war, pursues ‘strategic decoupling’ from China
by Jeff Pao
13/05/2025

ทั้งฝ่ายจีนและนักวิเคราะห์จำนวนมากต่างมองว่า ข้อตกลงยุติศึกภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯกับจีนเป็นการชั่วคราว คือการยอมล่าถอยของคณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์ กระนั้น รัฐมนตรีคลังเบสเซนต์ของสหรัฐฯได้ออกมาอธิบายตีความตามมุมมองผลประโยชน์ของฝ่ายตนว่า สิ่งนี้ยังคงเป็นความคืบหน้าอีกก้าวหนึ่งใน “การแยกขาดทางยุทธศาสตร์” จากจีน

จีนกับสหรัฐฯตกลงกันที่จะผ่อนเพลาระดับสงครามการค้าของพวกเขา ด้วยการลดอัตราภาษีศุลกากรซึ่งเก็บจากกันและกันลงมาอย่างเป็นกอบเป็นกำ รวมทั้งกำลังก่อตั้งกลไกที่จะเริ่มการเจรจาทางการค้ากันในระยะเวลา 90 วันข้างหน้าอีกด้วย

ตามคำประกาศร่วมสหรัฐฯ-จีนฉบับหนึ่ง [1] ที่เผยแพร่ออกมาในวันจันทร์ (12 พ.ค.) สหรัฐฯจะลดภาษีศุลกากรที่ตนเองเรียกเก็บจากสินค้าจีนลงมาจากอัตรา 145% เหลือ 30% โดยที่ในนี้ประกอบด้วยภาษีศุลกากร 10% ซึ่งสหรัฐฯจัดเก็บจากประเทศอื่นๆ แทบทุกรายเช่นกัน กับภาษีศุลกากรอีก 20% ที่สหรัฐฯยังคงเอาไว้ เพื่อรอดูความพยายามของจีนในการช่วยหยุดยั้งการส่งออกพวกสารตั้งต้นของสารเสพติดเฟนทานิล (fentanyl) เข้าสู่อเมริกา

อัตรา 30% นี้เป็นการเรียกเก็บเพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากรเฉลี่ย 20% ซึ่งสหรัฐฯบังคับใช้เรื่อยมาตั้งแต่ตอนสหรัฐฯทำสงครามการค้าเล่นงานจีนในสมัยแรกของคณะบริหารทรัมป์เมื่อปี 2018 ดังนั้น จึงหมายความว่าสหรัฐฯยังคงจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 50% เอากับสินค้านำเข้าจากจีน

ในเวลาเดียวกัน จีนจะลดภาษีศุลกากรที่จัดเก็บจากสินค้าสหรัฐฯลงจากอัตรา 125% เหลือ 10% สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเอาไว้เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมว่า อันที่จริงจีนได้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) ของตนในอัตรา 125% ให้แก่สินค้าอเมริกันไปก่อนหน้านี้แล้วคิดเป็นมูลค่าราวๆ 40,000 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับประมาณหนึ่งในสี่ของสินค้าทั้งหมดที่จีนนำเข้าจากสหรัฐฯ

การลดภาษีศุลกากรเหล่านี้ ซึ่งเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันพุธ (14 พ.ค.) อยู่ในระดับที่มากกว่าที่คาดหมายกันเอาไว้แยะ เพราะแม้กระทั่งตัวประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯเอง ก็ยังเพิ่งระบุในโพสต์หนึ่งทางโซเชียลมีเดียวเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า “เก็บภาษีศุลกากรจากจีนในอัตรา 80% ดูเหมือนจะถูกต้องเหมาะสม!”

สืบเนื่องจากการลดระดับลงมาเช่นนี้ของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ดัชนีหั่งเส็งของตลาดหุ้นฮ่องกง ได้พุ่งขึ้นแรง 3% มาปิดที่ระดับ 23,549 เมื่อวันจันทร์ (12 พ.ค.)

พัฒนาการใหม่คราวนี้บังเกิดขึ้นหลังจากรัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ ของสหรัฐฯ ได้พบปะเจรจา [2] กับรองนายกรัฐมนตรี เหอ ลี่เฟิง ของจีนที่เมืองเจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันเสาร์ (10 พ.ค.) และวันอาทิตย์ (11 พ.ค.)

ในคำประกาศร่วมที่ออกมาเมื่อวันจันทร์ (12 พ.ค.) วอชิงตันและปักกิ่งระบุว่า พวกเขาจะจัดตั้งกลไกขึ้นมาทำหน้าที่ดำเนินการการเจรจาหารือกันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง

เหอ ลี่เฟิง จะเป็นตัวแทนของฝ่ายจีน ขณะที่ เบสเซนต์ และ เจมีสัน กรีเออร์ (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative หรือ USTR) จะเป็นตัวแทนของฝ่ายสหรัฐฯ ตามที่สองฝ่ายได้ตกลงกันนั้น พวกเขาจะจัดการประชุมสลับกันไปในประเทศจีน, สหรัฐฯ, ตลอดจนในประเทศที่สาม นอกจากนั้นทั้งสองฝ่ายยังอาจจะจัดการประชุมปรึกษาหารือในระดับทำงานขึ้นมา ในประเด็นทางเศรษฐกิจและทางการค้าต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องอีกด้วย

“สหรัฐฯได้ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมอัตรา 91% และจีนก็ได้ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้อัตรา 91%เช่นกัน สหรัฐฯยังได้ระงับการบังคับใช้ “ภาษีศุลกากรตอบโต้” อัตรา 24% และจีนก็ตอบสนองด้วยการระงับบังคับใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้อัตรา 24% เช่นเดียวกัน” โฆษกผู้หนึ่งของกระทรวงพาณิชย์จีน แถลง [3] อธิบายในวันจันทร์ (12 พ.ค.)

“เป็นที่หวังกันว่า สหรัฐฯจะยังคงทำงานกับจีนอย่างต่อเนื่องโดยยึดโยงอยู่กับการพบปะเจรจากันในครั้งนี้, ดำเนินการแก้ไขอย่างตลอดถี่ถ้วนสำหรับการปฏิบัติอันผิดพลาดที่ขึ้นภาษีศุลกากรตามอำเภอใจฝ่ายเดียวไปแล้วหลายครั้ง, กระชับความร่วมมือกันที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง, ธำรงรักษาการพัฒนาอย่างมีสุขภาพดี มีเสถียรภาพ และยั่งยืน ของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและทางการค้าจีน-สหรัฐฯ, และร่วมกันอัดฉีดความแน่นอนและเสถียรภาพเข้าไปในเศรษฐกิจโลกให้มากยิ่งขึ้น” โฆษกผู้นี้บอก

อี้ว์หยวน ถานเทียน (Yuyuan Tantian) บัญชีสื่อสังคมที่ดำเนินการโดยสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของจีน (China Central TV หรือ CCTV) ซึ่งเป็นสื่อของรัฐ และขึ้นชื่อว่าสามารถเข้าถึงพวกผู้มีอำนาจตัดสินใจระดับท็อปในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุ [4] ว่า ในการพบปะเจรจาระหว่าง เหอ-เบสเซนต์ คราวนี้ มีการส่งสัญญาณออกมารวม 3 ประการด้วยกัน ได้แก่
**บรรยายกาศของการพูดจาเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา, ลงลึก, และสร้างสรรค์ ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุความเห็นพ้องต้องกันได้สืบเนื่องจากปัจจัย 2 ประการ คือ ประการแรก จีนมีการตอบโต้อย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งได้นำไปสู่การที่สองฝ่ายมีการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรขึ้นไปจนถึงระดับเท่ากับเป็นการใช้ภาษีศุลกากรเพื่อมุ่งลงโทษกัน และประการที่สอง ฝ่ายสหรัฐฯ หลังจากที่ได้วินิจฉัยผิดพลาดเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน และประเมินศักยภาพความสามารถของตนสูงเกินไปแล้ว ก็ได้ทำให้ตนเองเป็นฝ่ายลงมือกระทำอย่างกระตือรือร้น, เร่งด่วน, และมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหา ในระหว่างการเจรจาหารือกัน
**จีนกับสหรัฐฯตกลงกันที่จะจัดตั้งกลไกการปรึกษาหารือทางการค้าขึ้นมาเพื่อธำรงรักษาการติดต่อสื่อสารกัน ทั้งสองฝ่ายจะตัดสินใจเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ของการติดต่อสื่อสารกันในอนาคต
**ผลลัพธ์ของการเจรจาหารือใดๆ ระหว่างสองฝ่าย จะต้องอยู่ในแนวเดียวกับผลประโยชน์แห่งการพัฒนาของประเทศจีน

อี้ว์หยวน ถานเทียน บอกว่า การที่จีนตัดสินใจเอาคืนภาษีศุลกากร “ตอบโต้” ของทรัมป์ มีส่วนทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างมีสาระสำคัญขึ้นมา ในการทำความตกลงกันระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

‘ห่วงโซ่อุปทานที่มีความหยุ่นตัว’

สำหรับการอธิบายตีความทางฝ่ายสหรัฐฯนั้น เบสเซนต์ บอก [5] กับ ซีเอ็นบีซี โทรทัศน์ช่องธุรกิจการเงินของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันจันทร์ (12 พ.ค.) ว่า ข้อตกลงทางการค้าที่ออกมาได้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นตัวแทนแสดงถึงความก้าวหน้าของสหรัฐฯใน “การแยกขาดทางยุทธศาสตร์” (strategic decoupling) จากจีน

“เราไม่ได้ต้องการการแยกขาดอย่างเหมารวมทั้งหมด (generalized decoupling) จากจีน แต่สิ่งที่เราต้องการคือ การแยกขาดสำหรับสิ่งจำเป็นต่างๆ ในทางยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่สามารถทำได้ในระหว่างโรคระบาดใหญ่โควิด” เบสเซนต์บอก “เราเกิดความตระหนักรู้ขึ้นมาว่า ห่วงโซอุปทานที่มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่เป็นห่วงโซ่อุปทานที่มีความหยุ่นตัว (ซึ่งมีความทนทานต่อการบีบคั้นกดดัน)”

“เรากำลังจะสร้างเหล็กกล้าของเราเองขึ้นมา เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กกล้าของเรา และทำงานในเรื่องยาที่ความสำคัญยิ่งยวดและเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ ดังนั้น เรากำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่ และดังนั้น ภาษีศุลกากรเพื่อตอบโต้ จึงไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากรที่จัดเก็บจากพวกอุตสาหกรรมพิเศษเฉพาะ”

เขากล่าวว่า ข้อตกลงการค้าล่าสุดคราวนี้ ถือเป็นตัวแทนของขั้นตอนอีกขั้นตอนหนึ่งในการที่สหรัฐฯกำลังสั่นคลอนให้หลุดออกจากสภาพที่ตนเองต้องพึ่งพาอาศัยพวกผลิตภัณฑ์จีน

ในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นเรื่องสารเสพติดเฟนทานิล เบสเซนต์บอกว่า “เรามองเห็นจากการเจรจาที่เจนีวานี่ ว่าเวลานี้ฝ่ายจีนกำลังมีความจริงจังแล้วเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือสหรัฐฯในการยุติการไหลเวียนของพวกสารตั้งต้นของยาเสพติดนี้ เพราะคณะผู้แทนการค้าของฝ่ายจีนคราวนี้ไม่ใช่แค่นำโดยรองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่พวกเขายังนำเอารองรัฐมนตรีด้านความมั่นคงคนหนึ่งมาด้วย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเฟนทานิลของพวกเขา”

เขากล่าวว่า พวกเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ มีการพูดจาอย่างยาวนานมากและอย่างลงลึกกับทางพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีน เกี่ยวกับวิธีการที่สองประเทศสามารถทำงานร่วมกันในประเด็นเรื่องเฟนทานิล

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติของจีน ที่เข้าร่วมการพบปะเจรจา เหอ-เบสเซนต์คราวนี้ คือ หวัง เสี่ยวหง (Wang Xiaohong) รัฐมนตรีความมั่นคงสาธารณะ (Public Security Minister) ของจีน ผู้ซึ่งยังมีตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการ (deputy secretary) ของคณะกรรมการกิจการการเมืองและกฎหมายส่วนกลาง (Central Political and Legal Affairs Commission ) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอีกด้วย

สินค้าจีนซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ

หลังจากที่ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้าเข้าจากเกือบทุกๆ ประเทศคู่ค้า ในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น “วันปลดแอก” (Liberation Day) แล้ว สื่อมวลชนรายงาน [6] ว่า ทำให้พวกโรงงานจีนจำนวนมากถูกยกเลิกออร์เดอร์สั่งสินค้าของพวกเขาจากสหรัฐฯไปทั้งหมด ขณะเดียวกันมีบางรายที่เผชิญความยากลำบากต่างๆ ทางการเงิน เนื่องจากพวกผู้ส่งออกชาวจีนก็พากันยกเลิกออร์เดอร์ของพวกเขาโดยไม่ได้ให้ค่าชดเชยใดๆ

แผนภูมิ จัดทำโดย เอเชียไทมส์
ตามตัวเลขข้อมูลของสำนักงานศุลกากรจีน (China Customs) การนำเข้าโดยรวมของประเทศ ได้ลดต่ำลง 0.3% มาอยู่ที่ระดับ 220,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนเมษายน เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่การนำเข้าของจีนเฉพาะจากสหรัฐฯในระยะเวลาเดียวกันนี้ หล่นลง 13.8% มาอยู่ที่ 12,600 ล้านดอลลาร์

ทางด้านการส่งออกของจีนนั้น มูลค่าการส่งออกโดยรวมเพิ่มขึ้น 7.9% มาอยู่ที่ระดับ 315,700 ล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน จากที่ทำได้ 292,500 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของ 1 ปีก่อนหน้า ถือเป็นอัตราเร็วยิ่งกว่าการเติบโตขยายตัวระดับปีละ 5.7% ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

ทั้งนี้จากการคำนวณสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าพวกโรงงานอุตสาหกรรมจีนนำเอาสินค้าซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของสหรัฐฯเสียแล้วของพวกเขาไปไว้ที่ไหน ในระหว่างเกิดสงครามการค้า

ตัวอย่างเช่น การส่งออกของจีนไปยังเวียดนามเพิ่มขึ้นในอัตราปีต่อปีเท่ากับ 22.5% มาอยู่ที่ 17,100 ล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน อย่างไรก็ดี ถ้าหากไม่เป็นเพราะ “วันปลดแอก” ตัวเลขของเดือนเมษายนนี้ก็ยังน่าที่จะประคับประคองให้อยู่ในอัตราการเติบโตขยายตัวของไตรมาสแรกซึ่งอยู่ที่ 15.6% เอาไว้ได้ และมูลค่าก็จะอยู่ที่ 16,200 ล้านดอลลาร์ นี่จึงหมายความว่า สงครามภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจจะช่วยให้การส่งออกของจีนไปยังเวียดนามเพิ่มสูงขึ้นมา 975 ล้านดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว

จากการคำนวณด้วยวิธีเช่นนี้ ทำให้ได้ตัวเลขว่ามีสินค้าจีนคิดเป็นมูลค่าราว 10,900 ล้านดอลลาร์ที่ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯในเดือนเมษายน การลดต่ำลงนี้ได้รับการชดเชยจนหมดสิ้นจากการที่จีนเพิ่มการส่งออกไปยังแอฟริกา (2,000 ล้านดอลลาร์), ละตินอเมริกา (1,600 ล้านดอลลาร์), สิงคโปร์ (1,800 ล้านดอลลาร์), อินโดนีเซีย (1,400 ล้านดอลลาร์), เยอรมนี (1,200 ล้านดอลลาร์), เวียดนาม (975 ล้านดอลลาร์), มาเลเซีย (972 ล้านดอลลาร์), อินเดีย (745 ล้านดอลลาร์), และไทย (714 ล้านดอลลาร์)

ในวันที่ 9 เมษายน คณะบริหารทรัมป์ได้ประกาศหยุดพักการเก็บภาษีศุลกากรอัตราสูงขึ้นจากพวกประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่เป็นเวลา 90 วัน และบังคับใช้เพียงการขึ้นภาษีอัตรา 10% กับพวกเขาเท่านั้น บางที สหรัฐฯอาจจะตัดสินใจเรื่องอัตราภาษีศุลกากรโดยขึ้นอยู่กับว่าประเทศนั้นๆ มีความยินดีที่จะลดภาษีศุลกากรของพวกเขาซึ่งจัดเก็บจากสินค้าอเมริกัน, เป็นฝ่ายริเริ่มลดการได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ, และจำกัดการนำเอาสินค้าจีนมาส่งออกสู่สหรัฐฯอีกครั้งหรือไม่

แผนภูมิ จัดทำโดย เอเชียไทมส์
เชิงอรรถ

[1] https://www.whitehouse.gov/briefings-statements/2025/05/joint-statement-on-u-s-china-economic-and-trade-meeting-in-geneva/
[2]https://truthsocial.com/@realDonaldTrump/posts/114477628854583525
[3]https://baijiahao.baidu.com/s?id=1831900405608932137&wfr=spider&for=pc
[4]https://weibo.com/7040797671/PrudOEpzs?pagetype=profilefeed
[5] https://www.cnbc.com/2025/05/12/bessent-sees-tariff-agreement-as-progress-in-strategic-decoupling-with-china.html
[6]http://www.customs.gov.cn/customs/302249/zfxxgk/2799825/302274/302275/6502928/index.html
กำลังโหลดความคิดเห็น