องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ชี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าและอุตสาหกรรมที่สืบเนื่องมาจากภาษีศุลกากรของอเมริกาไม่อาจเหนี่ยวรั้งการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ได้ โดยคาดว่า ปีนี้อีวีจะกวาดยอดขายกว่า 20 ล้านคัน หรือกว่า 25% ของยอดขายรถทั้งหมด
ในรายงานแนวโน้มการยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าประจำปีที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (14 พ.ค.) ไออีเอ ระบุว่า ราคาที่จับต้องได้มากขึ้น และค่าใช้จ่ายในการใช้งานที่ลดลง คือปัจจัยส่งเสริมยอดขายอีวี
ฟาติห์ ไบรอล ผู้อำนวยการบริหารไออีเอ แถลงว่า จากข้อมูลที่ได้รับบ่งชี้ว่า อีวียังคงมียอดขายแข็งแกร่งทั่วโลก แม้เผชิญความไม่แน่นอนหลายอย่าง และคาดว่า ยอดขายในปีนี้จะอยู่ที่กว่า 25% ของยอดขายรถทั้งหมดทั่วโลก โดยที่การเติบโตจำนวนมากเกิดขึ้นในประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่
ไออีเอยังคาดว่า ยอดขายอีวีในช่วงปลายทศวรรษนี้จะเพิ่มเป็นกว่า 40% ของยอดขายรถทั้งหมด เนื่องจากอีวีมีราคาจับต้องได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ยอดขายอีวีในรายงานของไออีเอรวมถึงปลั๊ก-อินไฮบริดซึ่งปีที่แล้วขายได้กว่า 17 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ถึงกว่า 3.5 ล้านคัน
จากยอดขายอีวีทั่วโลกในไตรมาสแรกที่พุ่งขึ้นถึง 35% ไออีเอจึงคาดว่า ปีนี้รถยนต์ไฟฟ้าจะทำยอดขายได้กว่า 20 ล้านคัน
จีนยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า โดยมียอดขายเกือบ 2 ใน 3 ของทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ขณะที่ในด้านการผลิต ก็เป็นผู้ทำรถอีวีมากกว่า 70% ของปริมาณการผลิตทั่วโลก
รายงานแจงว่า การขยายตัวในจีนสะท้อนความสามารถในการแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน และยังพบว่า 2 ใน 3 ของอีวีที่ขายในปีที่ผ่านมามีราคาถูกกว่ารถใช้น้ำมันรุ่นเดียวกัน แม้ไม่มีมาตรการจูงใจในการซื้อก็ตาม
อย่างไรก็ดี สำหรับตลาดอื่นๆ ยังมีช่องว่างด้านราคาอย่างมาก เช่น อีวีที่ใช้พลังงานแบตเตอรีในเยอรมนีมีราคาเฉลี่ยแพงกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปรุ่นเดียวกัน 20% ขณะที่อีวีที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ในอเมริกาแพงกว่ารถยนต์ทั่วไปถึง 30%
ยอดขายอีวีในจีนในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเกือบ 40% เป็นเกือบ 50% ของยอดขายรถโดยรวม
ตรงข้ามกับที่ยุโรปที่ยอดขายอีวีปีที่แล้วชะงักงัน ส่วนหนึ่งเนื่องจากรัฐบาลฝรั่งเศสและเยอรมนีลดแคมเปญอุดหนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
ยอดขายอีวีในอเมริกาเพิ่มขึ้นเพียง 10% และส่วนแบ่งยอดขายในตลาดโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 10% เล็กน้อย
สำหรับยอดขายอีวีในพวกประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกาปี 2024 เพิ่มขึ้นกว่า 60% ซึ่งไออีเออธิบายว่า เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล และการที่จีนส่งรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดเข้าไปขายมากขึ้น
ค่ายรถจีนยังลงทุนตั้งโรงงานผลิตในประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร
ไออีเอตั้งข้อสังเกตว่า ตลาดจีนแสดงศักยภาพในการต้านทานการชะลอตัว เนื่องจากได้รับการสนับสนุนทางการเมืองและราคาอีวีที่สามารถแข่งขันได้ ขณะที่ประสบการณ์ของยุโรปแสดงให้เห็นว่า นโยบายต่างๆ สามารถให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ในช่วงวิกฤตโควิด เช่นเดียวกับในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญแรงต้านทางเศรษฐกิจ
ไออีเอยังพบว่า การเทรดอีวีเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยขณะนี้คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 20% ของยอดขายทั้งหมด
(ที่มา: เอเอฟพี)