ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯในวันพุธ(7พ.ค.) บ่งชี้ว่าจีนเป็นฝ่ายริเริ่มการเจรจาการค้าระดับสูงระหว่าง 2 ชาติที่กำลังมาถึง และยืนกรานว่าไม่มีความตั้งใจปรับลดเพดานการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อโน้มน้าวให้ปักกิ่งเข้าสู่โต๊ะเจรจา ความเคลื่อนไหวซึ่งมีขึ้นหลังจากจีนกล่าวอ้างว่าทางฝ่ายอเมริกาเป็นคนสัญญาณถึงความประสงค์อยากเจรจา
สหรัฐฯแถลงในวันอังคาร(6พ.ค.) ว่า สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง และ หัวหน้าผู้เจรจาทางการค้า เจมิสัน กรีเออร์ จะพบปะกับเจ้าหน้าที่ด้านเศรษฐกิจระดับสูงของปักกิ่งในวันเสาร์(10พ.ค.) ในสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นก้าวย่างแรกในความเป็นไปได้ของการเจรจาปลดชนวนสงครามการค้า ที่กำลังก่อความปั่นป่วนแก่เศรษฐกิจโลก
ความคืบหน้านี้ในเรื่องได้รับการขานรับด้วยความยินดีจากตลาดการเงิน ซึ่งตกอยู่ในภาวะสั่นคลอนมาตตั้งแต่ ทรัมป์ เปิดตัวนโยบายรีดภาษี
ก่อนหน้าคำแถลงในวันอังคาร(6พ.ค.) ไม่มีความชัดเจนใดๆว่าเมื่อไหร่หรือกระทั่งว่าชาติเศรษฐกิจหมายเลข 1 และ 2 ของโลก จะเปิดเจรจากัน เพื่อปลดชนวนความขัดแย้ง
ปักกิ่ง ซึ่งที่ผ่านมาใช้วาทกรรมดุเดือดท่ามกลางความตึงเครียดกับวอชิงตันที่ร้อนระอุมากขึ้นเรื่อยๆ บอกว่าพวกเขาจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการเจรจาจนกว่าสหรัฐฯจะถอนมาตรการรีดภาษี และทางกระทรวงพาณิชย์ของปักกิ่ง บ่งชี้เช่นกันว่าฝ่ายอเมริกา ส่งสัญญาณถึงความปรารถนาเปิดเจรจาหนทางออก
"พวกเขาบอกว่าเราเป็นฝ่ายริเริ่ม? อืม ผมคิดว่าพวกเขาควรกลับไปศึกษาเอกสารของพวกเขาเสียก่อนนะ" ทรัมป์ ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวรายหนึ่ง ณ กิจกรรมหนึ่งในทำเนียบขาว และเมื่อถามต่อว่าเขามีความตั้งใจลดเพดานการรีดภาษีเพื่อโน้มน้าวให้จีนเข้าสู่โต๊ะเจรจาหรือไม่ ทรัมป์กล่าวว่า "ไม่ เราสูญเสียไปให้จีน ในด้านการค้า 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จริงๆแล้วอาจมากกว่านั้น แล้วคุณคิดว่าตอนนี้เรามีอะไรต้องเสียอีก ไม่มี มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร"
แผนการเจรจามีขึ้นตามหลังสถานการณ์ความตึงเครียดที่ลุกลามบานปลายมานานหลายสัปดาหห์ ที่พบเห็น 2 ชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากอีกฝ่ายเกินกว่า 100% ในสิ่งที่ทาง เบสเซนต์ เรียกว่าเท่ากับเป็นการปิดล้อมทางการค้า
ทางตันนี้ ประกอบกับการตัดสินใจของทรัมป์เมื่อเดือนที่แล้ว ในการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากชาติอื่นๆหลายสิบประเทศทั่วโลก ได้ก่อความปั่นป่วนแก่ห่วงโซ่อุปทาน สร้างแรงสั่นสะเทือนแก่ตลาดการเงินและโหมกระพือความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจดำดิ่งสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง
เบสเซนต์ กล่าวหลังจากแถลงข่าวเกี่ยวกับการนัดพบปะหารือกับฝ่ายจีน ว่าการเจรจาเป็นเรื่องเกี่ยวกับ "การลดความตึงเครียด"
เจค คอลลิน หัวหน้าสภาการค้าต่างประเทศแห่งชาติ บอกว่ามาตรการรีดภาษีในปัจจุบัน อาจก่อความเสียหายใหญ่หลวงแก่เศรษฐกิจของทั้ง 2 ชาติ หากว่ายืดเยื้อเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี "ผมมองว่ามันเป็นสัญญาณในแง่บวกที่พวกเขาจะพูดคุยกัน ซึ่งดูเหมือนเป็นก้าวย่างล่าสุดในความเคลื่อนไหวลดความตึงเครียดต่างๆนานา"
เครก ซิงเกิลสัน จากมูลนิธิปกป้องประชาธิปไตย ชี้ว่าเป็นสิ่งน่าสังเกตที่จีนตกลงเจรจาโดยที่สหรัฐฯไม่ได้ยอมอ่อนข้อใดๆ "รัฐบาลทรัมป์ไม่ได้ยกเลิกมาตรการรีดภาษี ระงับบังคับใช้มาตรการต่างๆ หรือกระทั่งให้คำสัญญาเกี่ยวกับโร้ดแมปเจรจาหนึ่งๆ แต่ จีน ตกลงส่งรองนายกรัฐมนตรี เหอ หลี่เฟิง ซาร์เศรษฐกิจระดับสูงของสี มาประชุม" เขากล่าว "มันเท่ากับเป็นการยอมรับว่ามาตรการรีดภาษีมีผลต่อความตั้งใจของพวกเขา"
อย่างไรก็ตามพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯก็รู้สึกถึงแรงกดดันเช่นกัน ในนั้นรวมถึงความกังวลที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆของประชาชน ต่อปัญหาสินค้าขาดแคลนและข้าวของแพงขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างให้ปากคำกับคณะกรรมาธิการการเงินของสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ ทาง เบสเซนต์ เผยว่ารัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณายกเว้นเบาะรถยนต์, รถเข็นเด็ก รวมถึงเปลหรือสิ่งของจำเป็นอื่นๆสำหรับขนย้ายเด็ก จากมาตรการรีดภาษี 145% ที่กำหนดเล่นงานจีน
ทั้งนี้ในส่วนของจีน ก็ได้อนุมัติให้มอบข้อยกเว้นแก่สินค้าบางประเภท จากมาตรการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 125%
ในสิงคโปร์ มาร์รอส เซฟโควิช คณะกรรมการการค้าของคณะกรรมาธิการยุโรป บอกว่าทางกลุ่มจะแถลงในวันพฤหัสบดี(8พ.ค.) เกี่ยวกับรายละเอียดของมาตรการตอบโต้เพดานภาษีของสหรัฐฯ ถ้าการเจรจาท้ายที่สุดแล้วประสบความล้มเหลว แม้มันยังไม่เริ่มต้นขึ้นก็ตาม
(ที่มา:รอยเตอร์)