ศาลสูงสุดสหรัฐฯ มีคำพิพากษาวานนี้ (6 พ.ค.) อนุญาตให้รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บังคับใช้คำสั่งห้ามคนข้ามเพศเป็นทหาร และเปิดทางให้กองทัพสหรัฐฯ สามารถ “ปลด” ทหารข้ามเพศที่มีอยู่หลายพันนาย รวมถึงปฏิเสธรับคนข้ามเพศเข้าเป็นทหารใหม่
ศาลสูงสุดได้อนุมัติตามคำร้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้พิพากษาศาลส่วนกลางที่ยับยั้งไม่ให้รัฐบาลใช้คำสั่งแบนคนข้ามเพศเป็นทหาร ในระหว่างที่กระบวนการคัดค้านทางกฎหมายยังคงดำเนินอยู่
คำสั่งแบนทหารข้ามเพศเป็นหนึ่งในมาตรการหลายๆ อย่างของ ทรัมป์ ที่มุ่งจำกัดสิทธิของคนข้ามเพศในสหรัฐฯ
ปัจจุบันศาลสูงสุดสหรัฐฯ มีคณะผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมเป็นเสียงส่วนใหญ่ 6 ต่อ 3 เสียง โดยผู้พิพากษาสายเสรีนิยมที่มีอยู่เพียง 3 คน ซึ่งได้แก่ โซเนีย โซโตเมเยอร์, เอเลนา คากัน และ เคตันจี บราวน์ แจ็คสัน ต่างออกมาแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษานี้
ก่อนหน้านี้ ผู้พิพากษา เบนจามิน เซทเทิล แห่งศาลแขวงในซีแอตเติล ได้ใช้อำนาจยับยั้งคำสั่งแบนทหารข้ามเพศของ ทรัมป์ โดยมีผลบังคับทั่วประเทศ เนื่องจากมองว่าคำสั่งบริหารฉบับนี้เข้าข่ายละเมิดบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 5 (Fifth Amendment) ที่รับรองให้บุคคลได้รับการปกป้องคุ้มครองโดยกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
อดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน เคยเปิดโอกาสให้คนข้ามเพศสามารถเข้าเป็นทหารในกองทัพอเมริกันได้อย่างเปิดเผย โดยเขากล่าวว่า “อเมริกาจะปลอดภัยขึ้น เมื่อทุกคนที่มีคุณสมบัติในการเป็นทหารสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างเปิดเผย และด้วยความภาคภูมิใจ”
อย่างไรก็ตาม คำสั่งบริหารของ ทรัมป์ เมื่อเดือน ม.ค. มีการกล่าวหาว่าอัตลักษณ์ทางเพศของคนข้ามเพศนั้นเป็น “เรื่องโกหก” และชี้ว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานที่จะเป็นทหารในกองทัพสหรัฐฯ ได้
“การที่ผู้ชายคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้หญิง และบอกให้ผู้อื่นต้องเคารพสิ่งที่เป็นเท็จนี้ไม่สอดคล้องกับหลักความถ่อมตน (humility) และความไม่เห็นแก่ตัว (selflessness) ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทหาร” คำสั่งของ ทรัมป์ ระบุ
องค์กรเพื่อสิทธิกลุ่มคน LGBT อย่าง Lambda Legal และ Human Rights Campaign Foundation ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายโจทก์ในการยื่นคัดค้านคำสั่งของทรัมป์ วิจารณ์คำตัดสินของศาลสูงสุดว่า “เป็นการโจมตีอย่างรุนแรงต่อทหารข้ามเพศที่ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ และความตั้งใจจริงในการปกป้องประเทศชาติ”
องค์กรทั้งสองแห่งยังชี้ว่า ศาล “ได้ให้การปกป้องนโยบายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับความพร้อมทางทหาร แต่เป็นเรื่องของอคติล้วนๆ”
อย่างไรก็ดี คำตัดสินของศาลสูงสุดเมื่อวานนี้ (6) ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกระบวนการฟ้องร้องคัดค้านคำสั่งของทรัมป์ ซึ่งจะยังคงดำเนินต่อไปในศาลระดับล่าง และอาจกลับเข้าสู่การพิจารณาของศาลสูงสุดอีกครั้งในอนาคต
ที่มา: รอยเตอร์