ราคาน้ำมันขยับขึ้นราว 3% ในวันอังคาร(6พ.ค.) จากสัญญาณอุปสงค์ฟื้นตัวในยุโรปและจีน ส่วนวอลล์สตรีทปิดลบ 2 วันติดและทองคำพุ่งแรง จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับกรอบเวลาสำหรับข้อตกลงการค้าผ่อนปรนมาตรการรีดภาษีระหว่างสหรัฐฯกับชาติต่างๆ
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 1.96 ดอลลาร์ ปิดที่ 59.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 1.92 ดอลลาร์ ปิดที่ 62.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ตลาดน้ำมันได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจจีน ชาติผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่ หลังพบพวกผู้บริโภคในจีน ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นระหว่างฉลองวันแรงงาน ส่วนในยุโรป บริษัทต่างๆคาดหมายว่าจะมีรายได้ไตรมาสแรกเติบโตขึ้นราวๆ 0.4% สวนทางกับที่พวกนักวิเคราะห์ประมาณการเมื่อราวๆ 1 สัปดาห์ก่อน ว่าจะหดตัว 1.7%
นอกจากนี้แล้วราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์เมื่อเทียบกับตะกร้าเงิน นักลงทุนเริ่มหมดความอดทนต่อข้อตกลงทางการค้า ทั้งนี้การอ่อนค่าของดอลลาร์ ทำให้ราคาน้ำมันมีราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อที่ถือสกุลเงินอื่นๆ
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลบเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันในวันอังคาร(6พ.ค.) ความเห็นจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง แทบไม่ให้ความชัดเจนเกี่ยวกับกรอบเวลาของข้อตกลงการค้าใดๆ
ดาวโจนส์ ลดลง 389.83 จุด (0.95 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 40,829.00 เอสแอนด์พี ลดลง 43.47 จุด (0.77 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,606.91 จุด แนสแดค ลดลง 154.58 จุด (0.87 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 17,689.66 จุด
ทรัมป์ เผยว่าเขาและพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจะทบทวนว่าที่ข้อตกลงการค้าต่างๆนานาในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อตัดสินใจว่าข้อตกลงใดที่สามารถยอมรับได้ ขณะเดียวกัน ทรัมป์ ได้พบปะกับ มาร์ค คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดาเป็ฯครั้งแรก แต่การประชุมก็ยังไม่ผลิดอกออกผลใดๆในทันที
ยิ่งไปกว่านั้นความเห็นของทรัมป์ ยังสวนทางกับถ้อยแถลงก่อนหน้านี้จาก เบสเซนต์ ที่บอกว่ารัฐบาลอาจแถลงข้อตกลงการค้าบางส่วนอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์นี้เลย
ส่วนราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ในวันอังคาร(6พ.ค.) ได้แรงหนุนจากแรงซ้อนซื้อหลังวันหยุดจากจีน และความกังวลต่อมาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่นักลงทุนเฝ้ารอผลลัพธ์การประชุมเฟดในช่วงกลางสัปดาห์ โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 100.50 ดอลลาร์ หรือ 3 % ปิดที่ 3,422.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา:รอยเตอร์)