เอเอฟพี/รอยเตอร์/เอพี – ทรัมป์เปิดฉากโจมตีใหม่ในสงครามการค้า สั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากร 100% จากภาพยนตร์ที่ผลิตนอกอเมริกา อ้างฮอลลีวูดกำลังจะตายในไม่ช้าจากการที่ประเทศต่างๆ เสนอมาตรการจูงใจดึงผู้สร้างและสตูดิโอออกไปทำหนังนอกอเมริกา ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนแพลตฟอร์ม ทรูธ โซเชียล ของตนเองเมื่อวันอาทิตย์ (4 พ.ค.) ว่า ได้สั่งให้กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เริ่มต้นกระบวนการเพื่อเรียกเก็บภาษีศุลกากร 100% จากภาพยนตร์ทั้งหมดที่ผลิตในต่างประเทศและนำเข้าสู่อเมริกาทันที และย้ำว่า ต้องการให้มีการสร้างภาพยนตร์ในอเมริกาอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกลาโหม รีโพสต์ข้อความของทรัมป์และเพิ่มเติมว่า “เรากำลังจัดการ”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายละเอียดว่า ภาษีศุลกากรใหม่นี้จะเริ่มบังคับใช้เมื่อใดและอย่างไร รวมทั้งไม่มีความชัดเจนว่า มาตรการนี้จะส่งผลอย่างไรต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ และภาพยนตร์ในบริการสตรีมมิ่งและซีรี่ส์ทางทีวีซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากและเป็นส่วนที่ทำกำไรให้แก่ผู้ผลิตจะได้รับผลกระทบด้วยหรือไม่
โพสต์ของทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากจีนที่ถูกทรัมป์เรียกเก็บภาษีสินค้าหลายรายการ 145% และตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษี 125% จากสินค้าอเมริกันนั้น ประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่า จะลดจำนวนการนำเข้าภาพยนตร์จากอเมริกา นอกจากนั้นยังเกิดขึ้นขณะที่ทำเนียบขาวถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องนโยบายการค้าก้าวร้าวที่มีการขึ้นภาษีประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ทั้งนี้ ในโพสต์ของทรัมป์ยังระบุว่า อุตสาหกรรมหนังของอเมริกากำลังจะตายในไม่ช้า และว่า ประเทศต่างๆ กำลังเสนอมาตรการจูงใจทุกรูปแบบเพื่อดึงดูดผู้สร้างหนังและสตูดิโอของอเมริกาออกไปทำหนังนอกประเทศ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ
ฮอลลีวูดถือเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในระบบเศรษฐกิจของอเมริกา จากข้อมูลของสมาคมผู้สร้างภาพยนตร์แห่งสหรัฐฯ อุตสาหกรรมนี้สร้างงานกว่า 2.3 ล้านตำแหน่งในปี 2022 ทำรายได้จากการส่งออก 22,600 ล้านดอลลาร์ และเกินดุลการค้า 15,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2023
การประท้วงในฮอลลีวูดและผลประทบจากวิกฤตโควิดที่ทำให้คนอเมริกันเปลี่ยนมาดูหนังที่บ้านแทนการดูในโรงภาพยนตร์ ทำให้อุตสาหกรรมนี้ยังต้องฝ่าฟันในการฟื้นโมเมนตัม
จากรายงานในเดือนมกราคมของ ProdPro ซึ่งเป็นบริการติดตามความเคลื่อนไหวในการสร้างภาพยนตร์นั้น อเมริกายังคงเป็นฮับการสร้างภาพยนตร์ ทว่า มูลค่าการใช้จ่ายในการสร้างหนังลดลงจาก 2 ปีก่อน 26% อยู่ที่ 14,500 ล้านดอลลาร์
ช่วงหลายปีมานี้ ผู้สร้างภาพยนตร์และรายการทีวีทิ้งฮอลลีวูดไปหาโลเกชั่นที่เสนอมาตรการจูงใจทางภาษีที่ทำให้ทุนสร้างถูกลง โดยผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารสตูดิโอพบว่า โลเกชั่นในการถ่ายทำหนังยอดนิยม 5 อันดับแรกสำหรับปีนี้และปีหน้าอยู่นอกอเมริกาทั้งสิ้น ได้แก่ โทรอนโท อังกฤษ แวนคูเวอร์ ยุโรปกลาง และออสเตรเลีย ขณะที่แคลิฟอร์เนียได้อันดับ 6 ตามด้วยจอร์เจีย นิวเจอร์ซีย์ และนิวยอร์ก
นอกจากนี้ก่อนเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ทรัมป์ยังแต่งตั้งผู้สนับสนุนสำคัญและนักแสดงชื่อดังอย่างซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, เมล กิ๊บสัน และจอน วอยต์ เป็นผู้แทนพิเศษสำหรับฮอลลีวูดที่จะทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงของอเมริกา “ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา”
ที่ผ่านมา ทรัมป์และพรรครีพับลิกันไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมบันเทิงมากนัก ขณะที่ศิลปินแถวหน้า ตั้งแต่เทย์เลอร์ สวิฟต์ จนถึงจอร์จ คลูนีย์ ประกาศสนับสนุนกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว
วิลเลียม ไรนช์ อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และปัจจุบันเป็นนักวิชาการอาวุโสของศูนย์เพื่อการศึกษายุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศ เตือนว่า หากประเทศอื่นๆ ตอบโต้ภาษีศุลกากรใหม่ของทรัมป์ จะกลายเป็นการเข่นฆ่าอุตสาหกรรมบันเทิงของอเมริกา และอเมริกาจะสูญเสียหนักกว่าเดิม และสำทับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอ้างว่า สถานการณ์ในอุตสาหกรรมบันเทิงเป็นสถานการณ์ด้านความมั่นคงแห่งชาติหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน