ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งรีดภาษีศุลกากร 100% จากภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผลิตนอกสหรัฐอเมริกา โดยให้เหตุผลว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ กำลังตายลงอย่างรวดเร็วสืบเนื่องจากมาตรการจูงใจที่ประเทศอื่นๆ ใช้เพื่อดึงดูดคนทำหนังจากฮอลลิวูด
“ประเทศอื่นๆ กำลังรวมหัวกันทำสิ่งนี้ ดังนั้นมันจึงถือเป็นภัยคุกคามของชาติ และนอกเหนือไปจากสิ่งอื่นๆ แล้ว มันคือการส่งสารและการโฆษณาชวนเชื่อ” ทรัมป์ โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social
ทรัมป์ ระบุด้วยว่า เขาได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ เริ่มกระบวนการเก็บภาษี 100% จากภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศและเข้ามาฉายในสหรัฐอเมริกา โดยให้มีผลในทันที
“เราต้องการให้มีการผลิตภาพยนตร์ในอเมริกา อีกครั้ง!” เขากล่าว
ด้าน โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ก็ออกมารับลูกด้วยการโพสต์ X ทันทีว่า “เรากำลังจะทำ”
อย่างไรก็ตาม ทั้ง ลุตนิก และ ทรัมป์ ยังไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดว่าจะดำเนินการเก็บภาษีอย่างไร
ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ ได้แต่งตั้งดาราฮอลลีวูดรุ่นใหญ่ 3 คนอย่าง จอน วอยต์, ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และ เมล กิบสัน เป็น “ทูตพิเศษ” ประจำฮอลลีวูดเมื่อเดือน ม.ค. โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้อุตสาหกรรมหนังฮอลลีวูดกลับมา “ยิ่งใหญ่ ดีขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม”
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์เริ่มทยอยถอนตัวออกจากฮอลลีวูดมานานหลายปีแล้ว โดยหันไปใช้สถานที่อื่นๆ ซึ่งมีมาตรการจูงใจทางภาษีที่ช่วยให้ต้นทุนการผลิตภาพยนตร์ถูกลง
พวกพนักงานกองถ่ายเคยคาดหวังว่า อุตสาหกรรมหนังที่ลอสแองเจลิสจะกลับมาบูมได้อีกครั้งหลังเกิดการประท้วงหยุดงานโดยคนเขียนบทและนักแสดงเมื่อช่วงปี 2023 แต่จากสถิติพบว่าการฟื้นตัวก็ยังคงช้ามาก
วิกฤตไฟป่าครั้งรุนแรงที่เผาผลาญพื้นที่ในนครลอสแองเจลิสเมื่อเดือน ม.ค. ยิ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าบรรดาผู้ผลิตภาพยนตร์อาจจะทิ้งฮอลลีวูดไป รวมถึงเหล่าตากล้อง นักออกแบบเสื้อผ้า ช่างเทคนิคด้านเสียง และแรงงานเบื้องหลังอื่นๆ ที่อาจตัดสินใจย้ายออกแทนที่จะพยายามฟื้นฟูชุมชนขึ้นมาใหม่
การผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ในลอสแองเจลิสลดลงเกือบ 40% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาตามข้อมูลจาก FilmLA ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ติดตามอุตสาหกรรมการผลิตสื่อในพื้นที่
รัฐบาลทั่วโลกมีการให้เครดิตภาษีและเงินอุดหนุนเพื่อดึงดูดทีมสร้างภาพยนตร์ต่างชาติให้เข้าไปใช้สถานที่ถ่ายทำในประเทศของตนเอง และสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งการผลิตคอนเทนต์ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 248,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 ไปได้อย่างมากมาย ตามข้อมูลจาก Ampere Analysis
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ ทรัมป์ เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามการค้าครั้งใหญ่กับจีน รวมไปถึงมาตรการรีดภาษีตอบโต้ที่เขานำมาใช้กับประเทศคู่ค้าทั่วโลก จนทำให้มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย (recession)
วิลเลียม ไรน์ช อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์ให้กับศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศศึกษา (CSIS) เตือนว่า มาตรการแก้แค้นคำสั่งรีดภาษีภาพยนตร์ที่สร้างในต่างประเทศของ ทรัมป์ อาจจะส่งผลเสียร้ายแรง
“การแก้แค้นจะยิ่งทำให้อุตสาหกรรมของเราพังพินาศ เราจะเป็นฝ่ายเสียมากกว่าได้” เขากล่าว พร้อมชี้ว่าการพยายามอ้างว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกี่ยวพันกับความมั่นคงของชาติหรือเป็นภาวะฉุกเฉินของชาตินั้นฟังไม่ค่อยขึ้น
ที่มา: รอยเตอร์