จีนตอกกลับไม่ไว้หน้าอีกรอบ ยืนยัน สี กับ ทรัมป์ ไม่ได้คุยโทรศัพท์กันตามที่ผู้นำสหรัฐฯ อ้าง เวลาเดียวกัน ปักกิ่งยังเร่งเตรียมพร้อมรับมือศึกการค้า โดยมุ่งผ่อนคลายความกังวลภายในประเทศ ด้วยการยืนยันศักยภาพพร้อมปกป้องการจ้างงานและจำกัดความเสียหายจากภาษีศุลกากรอเมริกัน
กัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในการแถลงข่าวประจำวันตามปกติเมื่อวันจันทร์ (28 เม.ย.) โดยระบุว่า เท่าที่รับรู้ ในระยะนี้ผู้นำจีนและผู้นำอเมริกาไม่ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กัน รวมทั้งจีนกับอเมริกาก็ไม่ได้มีการหารือหรือการเจรจาในประเด็นภาษีศุลกากร
อเมริกากับจีนที่เป็นชาติเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก กำลังต่อสู้กันแบบตาต่อตา-ฟันต่อฟัน ซึ่งจุดชนวนด้วยการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้าจีนในอัตรา 145% และจีนตอบโต้ด้วยการสั่งเก็บภาษีสินค้าอเมริกัน 125% ขณะที่ประเทศคู่ค้าของอเมริกาอีกหลายสิบแห่ง ทางทรัมป์ประกาศให้เวลาผ่อนผัน 90 วันจนถึงเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อมาทำข้อตกลงเป็นรายประเทศกับวอชิงตันและหลีกเลี่ยงการถูกขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้
อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่แล้วทรัมป์กลับมีสุ้มเสียงอ่อนลงกับแดนมังกร โดยออกมาพูดว่าจะไม่ขึ้นภาษีศุลกากรจีนสูงถึงขนาดที่ประกาศ ถ้าหาก 2 ประเทศมีการเจรจากัน นอกจากนั้นเขายังอ้างอยู่หลายหนว่าอเมริกากับจีนกำลังมีการหารือกันอยู่ เป็นต้นว่า ในการให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์เมื่อวันอังคาร (22) ซึ่งมีการนำออกเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ (25) ทรัมป์ยืนยันว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โทรศัพท์หาตน แต่ไม่ได้บอกว่า เมื่อใดและคุยอะไรกันบ้าง ถึงแม้ปักกิ่งปฏิเสธมาโดยตลอดว่า ช่วงนี้สองประเทศไม่เคยติดต่อกันเรื่องข้อพิพาททางภาษีและการค้าก็ตาม
ไม่เฉพาะทรัมป์ ทางด้าน บรูค โรลลินส์ รัฐมนตรีเกษตรสหรัฐฯ ก็ให้สัมภาษณ์รายการ สเตท ออฟ เดอะ ยูเนียน ทางโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอาทิตย์ (27) อ้างว่า อเมริกาคุยเรื่องภาษีกับจีน และกับอีก 99 ประเทศอยู่ทุกวัน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กลับกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่รู้ว่า ทรัมป์ได้คุยกับสีหรือไม่ แต่ตนเองนั้นพบกับรัฐมนตรีคลังจีนระหว่างการประชุมร่วมของกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกที่กรุงวอชิงตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทว่าไม่ได้คุยเรื่องภาษีศุลกากร
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ยังปกป้องนโยบายภาษีของทรัมป์ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกว่า เป็นวิธี “สร้างความไม่แน่นอนเชิงยุทธศาสตร์” ที่ทำให้วอชิงตันถือไพ่เหนือกว่าซึ่งทรัมป์ถนัดมาก
เบสเซนต์อธิบายว่า ทรัมป์ใช้วิธีขึ้นภาษีแรงโดยไม่บอกว่า ผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร เพื่อบีบให้ประเทศต่างๆ ยกเลิกภาษีศุลกากรและอุปสรรคการค้าอื่นๆ หยุดบิดเบือนค่าเงิน อุดหนุนแรงงานและเงินทุน อเมริกาจึงจะยอมเปิดเจรจาด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เวลานี้ทรัมป์อ้างว่า มีหลายสิบประเทศขอเจรจา แต่กลับเปิดเผยรายละเอียดน้อยมาก และเมื่อขอคำอธิบายเพิ่มเติม เบสเซนต์ก็เลี่ยงว่า การเจรจากับบางประเทศเท่านั้น โดยเฉพาะประเทศในเอเชีย ที่มีความคืบหน้า
เขายังบอกว่า การที่จีนอาจปฏิเสธว่าไม่ได้คุยกับอเมริกาอยู่ ก็สืบเนื่องจากมีกลุ่มเป้าหมายต่างกันจากทางสหรัฐฯ
กระนั้น เห็นชัดว่าเวลานี้จีนแสดงท่าทีไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ว่ามีการหารือกับฝ่ายสหรัฐฯหรือไม่ แต่โฟกัสที่การพยายามคลายความวิตกกังวลภายในประเทศ โดยเมื่อวันจันทร์ (28) พวกเจ้าหน้าที่อาวุโสจากหลายกระทรวงทางเศรษฐกิจ ได้จัดแถลงข่าวร่วมกันโดยให้สัญญานับสนุนบริษัทต่างๆ และพวกที่ต้องว่างงาน ตลอดทั้งผ่อนคลายเงื่อนไขในการปล่อยกู้ และนโยบายอื่นๆ เพื่อรับมือผลกระทบจากภาษีศุลกากรของอเมริกา
การแถลงข่าวครั้งนี้มีขึ้นภายหลังคณะกรมการเมือง (โปลิตบูโร) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประชุมกันเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า ประเด็นหารือสำคัญคือมาตรการรับมือเพื่อรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ แม้ภาคส่งออกชะลอตัวก็ตาม โดยทางการจีนเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจะยังคงขยายตัว 5% ตามเป้าหมายสำหรับปีนี้
ในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ อู๋ เจียตง รัฐมนตรีช่วยกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงทางสังคม บอกว่า จากการวิเคราะห์อย่างเต็มรูปแบบและปลอดจากอคติ พบว่า จีนมีพวกเครื่องมือเกี่ยวกับนโยบายการจ้างงานอย่างพรักพร้อมเพียงพออยู่แล้ว และรัฐบาลจะยกระดับการสนับสนุนบริษัทต่างๆ ให้สามารถรักษาคนงานเอาไว้ได้ รวมทั้งส่งเสริมให้คนว่างงานเกิดแนวคิดในการเป็นผู้ประกอบการ
ขณะที่ เจ้า เฉินซิน รองผู้อำนวยการของคณะกรรมการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (เอ็นดีอาร์ซี) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนเศรษฐกิจของจีน ยืนยันว่า การลดหรือกระทั่งยุติการนำเข้า พลังงาน รวมถึงธัญพืชและสินค้าเกษตรอื่นๆ ของอเมริกา จะไม่ส่งผลกระทบต่ออุปทานพลังงานและอาหารของจีน
ทางด้านโจว หลัน รองผู้ว่าการแบงก์ชาติจีน ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน เผยว่า แบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยและผ่อนคลายข้อกำหนดอัตราเงินสดสำรองเพื่อส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อ รวมทั้งจะออกนโยบายเพิ่มเติมตามความเหมาะสมเพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพการจ้างงาน ภาคธุรกิจ ตลาด และความคาดหวัง
เจ้าเสริมว่า จีนสามารถกระตุ้นความต้องการภายในประเทศผ่านนโยบายต่างๆ ซึ่งรวมถึงการให้ส่วนลด สำหรับการนำรถยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์ในโรงงาน ที่เป็นของเก่าแลกของใหม่ ซึ่งคาดว่า จะมีมูลค่ากว่า 34,800 ล้านดอลลาร์
นอกจากนั้นในระยะยาว จีนจะส่งเสริมการเคลื่อนย้ายผู้คนจากชนบทสู่เมือง ซึ่งทุก 1% จะกระตุ้นอุปสงค์ในการลงทุนได้หลายล้านล้านดอลลาร์ เป็นการตอกย้ำว่า จีนมีศักยภาพในการขยายความต้องการภายในประเทศอย่างแท้จริง
(ที่มา: เอเอฟพี/เอพี/รอยเตอร์)