จีนสวนกลับไม่ไว้หน้าในวันพฤหัสบดี (24 เม.ย.) ยืนยันยังไม่มีการเจรจากับสหรัฐฯ พร้อมกับเรียกร้องวอชิงตันยกเลิกการขึ้นภาษีศุลกากรตามอำเภอใจฝ่ายเดียวทั้งหมด หลังจากทรัมป์พยายามประโคมข่าวว่า กำลังหารือกับปักกิ่งซึ่งอาจนำไปสู่ข้อตกลงการค้าที่เป็นธรรม โดยที่ตัวขุนคลังอเมริกันเองก็ยอมรับว่า สองประเทศยังไม่ได้เริ่มคุยกันเรื่องการลดภาษีแต่อย่างใด
“สหรัฐฯควรตอบสนองบรรดาเสียงเรียกร้องที่ชอบด้วยเหตุผลในประชาคมระหว่างประเทศ และภายในพรมแดนของพวกเขาเอง และเพิกถอนบรรดาภาษีศุลกากรตามอำเภอใจฝ่ายเดียวทั้งหมดที่บังคับใช้กับจีน ถ้าหากสหรัฐฯต้องการที่จะแก้ไขปัญหานี้จริงๆ” เหอ หยาตง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวระหว่างการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ตามวาระปกติที่กรุงปักกิ่ง
นอกจากนั้น เขายังปัดปฏิเสธเสียงคาดเดาที่ว่าการติดต่อสื่อสารกันระดับทวิภาคีของทั้งสองประเทศกำลังมีความคืบหน้า โดยกล่าวว่า “รายงานใดๆ เกี่ยวกับเรื่องพัฒนาการในการพูดจากันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีมูล” และเรียกร้องว่าสหรัฐฯต้อง “แสดงความจริงใจ” แก้ไขการดำเนินการที่ผิดๆ และกลับเข้าสู่การเจรจาอย่างเท่าเทียม ถ้าหากต้องการที่จะทำข้อตกลงกัน
ไม่เฉพาะกระทรวงพาณิชย์แดนมังกร ทางด้าน กัว เจียคุน โฆษกของกระทารวงการต่างประเทศจีน ก็กล่าวในการแถลงข่าวประจำวันตามปกติในวันเดียวกัน ปฏิเสธการแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันพุธ (23) ที่ว่าสหรัฐฯกับจีนมีการคุยกันเรื่องการค้า กันอยู่ “ทุกๆ วัน”
“เรื่องที่ว่านี้ไม่มีอะไรเป็นความจริงเลย ตามที่ผมทราบมา จีนกับสหรัฐฯไม่ได้กำลังมีการหารือกันหรือการเจรจากันในเรื่องภาษีศุลกากร แล้วยิ่งน้อยลงไปกว่านั้นอีกคือเรื่องที่ว่าทั้งสองฝ่ายกำลังจะทำข้อตกลงกันได้”
“สงครามภาษีศุลกากรนี้เปิดฉากขึ้นโดยสหรัฐฯ จุดยืนของจีนนั้นสม่ำเสมอและชัดเจน เราจะต่อสู้อย่างเต็มที่หากเราจำเป็นต้องทำ ประตูของเราเปิดกว้างหากสหรัฐฯต้องการที่จะพูดจากัน แต่การสนทนาและการเจรจากันต้องยึดโยงอยู่กับความเท่าเทียม, ความเคารพ, และต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์”
โฆษกผู้นี้กล่าวเพิ่มเติมในเวลาต่อมาว่า “ถ้าหากสหรัฐฯต้องการจริงๆ ที่จะจัดการกับปัญหานี้โดยผ่านการเจรจากัน สหรัฐก็จำเป็นต้องยุติการใช้แรงกดดันอย่างสุดโต่ง, ยุติการข่มขู่คุกคามและการแบล็กเมล์จีน, และหาทางสนทนากับจีนบนพื้นฐานของความเท่าเทียมและความเคารพซึ่งกันและกัน”
ก่อนหน้านั้นในวันพุธ (23) ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า สหรัฐฯจะสามารถทำ “ข้อตกลงที่เป็นธรรมกับจีน” และเมื่อถูกถามว่าวอชิงตันกำลังมีการเจรจาอยู่กับปักกิ่งหรือเปล่า เขาก็ตอบว่า “ทุกๆ อย่างกระตือรือร้นกันเต็มที่”
แต่ภาษีศุลกากรสูงลิ่วที่แต่ละฝ่ายประกาศจัดเก็บจากสินค้าเข้าของอีกฝ่ายหนึ่ง จะสามารถลดลงมาได้เมื่อใดๆ นั้น “ขึ้นอยู่กับพวกเขา” ทรัมป์บอกโดยหมายถึงฝ่ายจีน ถึงแม้เขายังคงยืนยันว่าเขาเข้ากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ “ดีมากๆ” และหวังว่าพวกเขาจะสามารถทำข้อตกลงกันได้
ครั้นเมื่อถูกจี้ถามอีกว่า สหรัฐฯมีการติดต่อโดยตรงกับจีนในเรื่องการค้าหรือไม่ ทรัมป์ก็ตอบว่า “ทุกๆ วัน”
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน สกอตต์ เบนเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กลับบอกว่า สองประเทศยังไม่ได้มีการหารือกันเรื่องการลดภาษีศุลกากร แต่เขาคิดว่าทั้งสองฝ่ายต่างกำลังเฝ้ารอคอยที่จะได้พูดจากับอีกฝ่ายหนึ่ง นอกจากนั้นเขาเสริมด้วยว่า ทรัมป์ไม่ได้มีข้อเสนอแบบฝ่ายเดียวที่จะลดภาษีให้แก่สินค้าจีน
เบสเซนต์กล่าวเสนอแนะระหว่างไปร่วมประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลกที่วอชิงตันว่า อัตราภาษีศุลกากรสูงลิบที่อเมริกาและจีนตอบโต้กันควรลดลง ก่อนที่การเจรจาจะเริ่มขึ้น
“ผมไม่คิดว่าแต่ละฝ่ายเชื่อว่าอัตราภาษีศุลกากรในปัจจุบันอยู่ในระดับที่สามารถรักษาให้อยู่ยืนยาวได้ ดังนั้น ผมจะไม่ประหลาดใจเลยถ้าอัตราเหล่านี้ลดลงมาในลักษณะต่างฝ่ายต่างลด” เขาบอก
เขากล่าวอีกว่า อัตราภาษีศุลกากรสูงลิ่วที่สองประเทศประกาศออกมาเวลานี้ มีความหมายไม่ต่างอะไรกับการห้ามอีกฝ่ายส่งสินค้าเข้าไป โดยทีการชะงักงันของการค้าระหว่างอเมริกากับจีนไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองประเทศต้องการ พร้อมย้ำว่า มีความเป็นไปได้ที่สองฝ่ายจะพยายามผ่อนคลายสถานการณ์ความตึงเครียด อย่างไรก็ดี เบสเซนต์ไม่ได้ระบุว่า การเจรจาจะเกิดขึ้นเมื่อใด
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เสริมว่า รูปแบบเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการส่งออกของจีน “ไม่ยั่งยืน” และเป็นอันตรายทั้งต่อจีนเองและทั่วโลก เขายังย้ำความกังวลของอเมริกาเกี่ยวกับความไม่สมดุลทางการค้าซึ่งคณะบริหารของทรัมป์หวังว่า จะสามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการภาษีศุลกากร
อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์สำทับว่า นโยบายอเมริกาต้องมาก่อนไม่ได้หมายถึงอเมริกาที่โดดเดี่ยว และยืนยันว่า กลยุทธ์ของสหรัฐฯ เป็นการเรียกร้องการร่วมมือเชิงลึกและการเคารพกันและกันในหมู่ประเทศคู่ค้า ควบคู่กับการโจมตีนโยบายของประเทศที่บ่อนทำลายภาคอุตสาหกรรมการผลิตและทำให้ความมั่นคงของอเมริกาตกอยู่ในความเสี่ยง
โจเซฟ กริเอโค ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยดุค ในสหรัฐฯ บอกว่า ทรัมป์อาจพยายามเดินเกมเพื่อทำข้อตกลงกับจีนต่อเพื่อผ่อนคลายความกดดันจากตลาดการเงิน และเขากลัวว่า ประมุขทำเนียบขาวอาจยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจเพื่อโน้มน้าวประธานาธิบดีสี ซึ่งอาจเป็นข้อเสนอที่ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจร้ายแรงที่อเมริกามีกับจีน
ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานเมื่อวันพุธว่า ทรัมป์อาจยกเว้นภาษีบางอย่างสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ของจีน รวมถึงเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม
กระนั้น เมื่อบ่ายวันพุธ ทรัมป์ยืนยันว่า ยังไม่ได้คิดว่า จะเปลี่ยนแปลงภาษีศุลกากรรถยนต์ แต่กลับตั้งข้อสังเกตว่า อาจขึ้นภาษีกับรถยนต์จากแคนาดา
(ที่มา: บลูมเบิร์ก/เอเอฟพี/เอพี)