เอเจนซีส์ – ทั่วโลกไว้อาลัยหลังสำนักวาติกันออกแถลงข่าวเศร้าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 07.35 น.ของวันจันทร์(21 เม.ย) ในขณะที่มีพระชนมายุ 88 พรรษา หลังพระองค์ปรากฎตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งสุดท้ายที่จตุรัสเซนต์ปีเตอร์ในวันอาทิตย์(20 เม.ย) ทรงตรัสประทานพร “สุขสันต์วันอีสเตอร์” แก่สาธารณชนเป็นวันที่พระเยซูทรงฟื้นคืนชีพกลับสู่สวรรค์หลังสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์กลายเป็น 2 ผู้นำคนสุดท้ายที่ได้มีโอกาสเฝ้า
บีบีซีของอังกฤษรายงานวันนี้(21 เม.ย)ว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงกลายเป็นพระประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกพระองค์แรกในรอบ 1,300 ปีที่ไม่ได้มาจากทวีปยุโรป
คาร์ดินัล เควิน ฟาร์เรลล์ (Kevin Farrell)ออกแถลงการณ์ทางเทเลแกรมออกแถลงมีใจความว่า
“เช้าวันนี้เมื่อเวลา 07.35 น.ตามเวลาท้องถิ่น บิชอปแห่งกรุงโรม ฟรานซิส ได้กลับไปสู่บ้านของพระผู้เป็นเจ้า”
การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสซึ่งดำรงพระยศบิชอปแห่งกรุงโรมเกิดขึ้นหลังในวันอาทิตย์(20)ที่พระองค์ได้เสด็จปรากฎพระองค์ต่อสาธารณะเป็นครั้งสุดท้ายแก่สาธารณชนทั้งหลายที่รวมตัวกันในจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพิธีสำคัญของชาวคริสต์จากการที่เป็นวันที่เชื่อกันว่า พระเยซูทรงฟื้นคืนชีพกลับสู่สวรรค์หลังจากทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนในวันกู๊ดฟรายเดย์ 3 วันก่อนหน้า
ซึ่งในวันอีสเตอร์ปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์(20)แต่ทว่าวันจันทร์(21)ซึ่งเป็นวันที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสสิ้นพระชนม์มีหลายสื่อต่างเรียกว่าวันจันทร์อีสเตอร์เช่นกัน
โป๊ปฟรานซิสสร้างความยินดีต่อศาสนคริสตชนไปทั่วโลกเมื่อปรากฎพระองค์ในพิธีวันอีสเตอร์บนมุขเฉลียงในจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ที่ตรงกับวันอาทิตย์(20)และพระองค์ได้ตรัสประทานพร "สุขสันต์วันอีสเตอร์" ต่อทุกคนในที่นั่นและทั่วโลกเป็นครั้งสุดท้าย
ทั้งนี้รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ กลายเป็นผู้นำโลกคนสุดท้ายที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้า
CNN ของสหรัฐฯรายงานว่า หลังจากการเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ของประธานาธิบดี โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ และเกิดการเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ โป๊ปฟรานซิสออกมาตรัสวิพากษ์วิจารณ์นโยบายผู้ลี้ภัยของทรัมป์อย่างเปิดเผย
สำนักวาติกันแถลงการณ์ว่า การหารือระหว่างรองประธานาธิบดีสหรัฐฯและเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งวาติกันนั้นมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทั้งด้านผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และนักโทษ
เป็นการพบกันในเช้าวันเสาร์(19)โดยฝ่ายวาติกันได้แก่เลขาธิการแห่งรัฐวาติกัน คาดินัล ปิเอโตร ปาโรลิน (Pietro Parolin) และรัฐมนตรีต่างประเทศวาติกัน อาร์คบิชอป พอล กัลป์ลาเกอร์(Paul Gallagher)
รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจดี แวนซ์ นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกได้เดินทางมาพร้อมครอบครัวสุภาพสตรีหมายเลข 2 สหรัฐฯ อุชา แวนซ์( Usha Vance) เป็นทนายอเมริกันเชื้อสายอินเดียและบุตรได้เข้าร่วมพิธีกู๊ดฟรายเดย์ในวันศุกร์(18)ที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในวาติกัน
เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่า มีภาพการเข้าเฝ้าโป๊ปฟรานซิสของแวนซ์เผยแพร่ไปทั่ว เป็นการเข้าเฝ้าเกิดขึ้นไม่กี่นาทีในวันอีสเตอร์
สำนักข่าววาติกันรายงานโดยอ้างอิงจากแถลงการณ์ของวาติกันระบุว่า เป็นการเข้าเฝ้าเกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.30 น.ของวันอาทิตย์(20)ในระยะเวลาไม่กี่นาทีและเป็นสนทนาในภาษาอังกฤษ
แวนซ์กล่าวว่า “ผมทราบมาว่าพระองค์ทรงรู้สึกประชวรอยู่มาก แต่ทว่าเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับผมได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าและได้มีโอกาสเห็นพระองค์มีพระพลานามัยที่ดีขึ้น”
พร้อมกันนี้รองประธานาธิบดีสหรัฐฯได้กล่าวต่อว่า “ผมขอขอบพระคุณพระองค์มากที่ได้ให้โอกาสเข้าเฝ้า”
สำนักข่าววาติกันรายงานว่า โป๊ปทรงตรัสตอบด้วยความอบอุ่นและอีกทั้งสองต่างกล่าวว่า “สุขสันต์วันอีสเตอร์”
เดอะการ์เดียนรายงานว่า โป๊ปได้ประทานไข่ช็อกโกแลตสัญลักษณ์อีสเตอร์ 3 ชิ้นแก่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และโดยรวมคณะคอนวอยของรองประธานาธิบดีสหรัฐฯอยู่ในกรุงวาติกันเป็นเวลานาน 17 นาที
CNN รายงานว่า ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ไว้อาลัยแด่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้าเฝ้าพระองค์ในปี 2017
ระฆังทั่วกรุงโรมดังกังวานไปทั่วหลังการประกาศข่าวสิ้นพระชนม์ออกมา
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และพระราชาชินีคามิลลาแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษทรงได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาในระหว่างทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยือนอิตาลีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 เม.ย
เดลีเอ็กซเพรสของอังกฤษรายงานว่า เป็นการเข้าเฝ้าพระประมุขโฮลีซีที่กรุงโรม โดยทั้งสองพระองค์ทรงฉลองพระองค์สีดำอย่างเป็นการทางการในการเข้าเฝ้า
สื่ออังกฤษชี้ว่า เป็นการเข้าเฝ้าลับครั้งสุดท้ายโดยกำหนดพระราชดำเนินเยือนวาติกันได้ถูกเลื่อนออกไปก่อนหน้าเนื่องมาจากปัญหาพระพลานามัยของสมเด็จพระสันตะปาปา
สำนักพระราชวังบักกิงแฮมในเวลาต่อมาได้ออกแถลงการณ์ว่า “พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และพระราชินีคามิลลาทรงมีความปิติยินดีที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงมีพระพลานามัยที่ดีมากพอที่จะทรงต้อนรับทั้งสองพระองค์ได้ และทั้งสองพระองค์สามารถมีโอกาสในการถวายพระพรเป็นการส่วนพระองค์”
หนังสือพิมพ์เดอะซันของอังกฤษรายงานว่า พระเจ้าชารล์สที่ 3 ทรงได้ตรัสถวายอาลัยแด่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสหลังทราบข่าวสิ้นพระชนม์ โดยใจความในตอนหนึ่งระบุว่า
“พระราชินีและข้าพเจ้ามีความรู้สึกโศกเศร้าอย่างลึกซึ้งที่ได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส หัวใจที่หนักอึ้งของพวกเราได้บรรเทาขึ้นมาบ้างจากที่ได้ทราบว่า พระประมุขแห่งโฮลีซีสามารถเสด็จร่วมพิธีวันอีสเตอร์ร่วมกับคริสตจักรโรมันคาทอลิกและโลกที่พระองค์ได้ทรงรับใช้มาตลอดพระชนม์ชีพ”
และ “พระราชินีและข้าพเจ้ารำลึกด้วยความรักใคร่โดยเฉพาะในการเข้าเฝ้าพระองค์ในตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา และพวกเรามีความรู้สึกยินดีอย่างสูงที่ได้รับโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์เมื่อต้นเดือนนี้ เราทั้งสองขอส่งความไว้อาลัยด้วยหัวใจอย่างสุดซึ้งและความเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งไปยังคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่พระองค์ได้รับใช้อย่างมุ่งมั่นและต่อผู้คนนับไม่ถ้วนทั่วโลกที่ต่างได้รับแรงบันดาลใจจากชีวิตของพระองค์จะต้องเศร้าโศกต่อการสูญเสียครั้งใหญ่ต่อผู้ภักดีอย่างสัจซื่อต่อพระเยซูเจ้า”
CNN ของสหรัฐฯรายงานว่า ขณะเดียวกันผู้นำทั่วโลกชาติต่างๆรวมประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ออกสารแสดงความอาลัยแด่โป๊ปฟรานซิส โดยยกย่องว่าเป็นเสาหลักโรมันคาทอลิกต่อการสื่อสารในความสัมพันธ์ที่แข็งแกรงร่วมกับคริตจักรรัสเซียออร์โธด็อกซ์ที่หมายถึง "รัสเซีย" รวมไปถึงผู้นำยูเครนคู่ปรับ ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แถลงอาลัยชี้ "โป๊ป" ระบุว่าพระองค์ทรงขอพรต่อสันติภาพยูเครนและต่อชาวยูเครนทั้งหลาย
สื่อสหรัฐฯรายงานว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจะกลายเป็นโป๊ปพระองค์แรกนานกว่าร้อยปีนับตั้งแต่โป๊ปลีโอที่ 13 ที่สิ้นพระชนม์ในปี 1903 ที่จะถูกฝังนอกวาติกัน โดยในความปราถนาพระองค์ต้องการให้มีพิธีฝังไว้ที่มหาวิหารซันตามาเรียมัจโจเร (Santa Maria Maggiore) ในกรุงโรม อิตาลี