xs
xsm
sm
md
lg

เล่นเขาแต่เราเจ็บ!เฟดเตือนมาตรการรีดภาษีของทรัมป์ ทำผู้บริโภคสหรัฐฯแบกรับภาระอ่วม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะได้รับผลกระทบและราคาสินค้าจะพุ่งสูงสำหรับพวกผู้บริโภค ผลจากมาตรการรีดภาษีรอบใหม่ที่กำหนดเล่นงานสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีน จากคำเตือนของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ในวันพุธ(16เม.ย.)

เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด บอกว่าภาษีนำเข้าที่แถลงโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเร็วๆนี้ ถือว่าใหญ่โตกว่าที่ทางธนาคารกลางคาดหมายไว้ และน่าจะส่งผลกระทบมากกว่าที่เฟดประมาณการไว้เช่นกัน

ความเห็นของเขามีขึ้นหลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกตกอยู่ในภาวะสั่นคลอนในช่วงเวลาหนึ่ง โดยพวกนักลงทุนแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อการที่มาตรการรีดภาษีมีผลบังคับใช้ ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ

พาวเวลล์เผยว่าผลสำรวจภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ พบความเชื่อมั่นของทั้ง 2 ภาคที่มีต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ "ดิ่งลงอย่างหนัก" ส่วนใหญ่สืบเนื่องจากการรีดภาษี

"ระดับของการปรับเพิ่มเพดานภาษีที่ประกาศออกมาจนถึงตอนนี้ ถือว่ามากกว่าที่คาดหมายไว้อย่างมาก" พาวเวลล์กล่าว ในการส่งเสียงเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของระบบภาษีใหม่ดังกล่าว "มีความเป็นไปได้อย่างแท้จริงว่ามันจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในแบบเดียวกัน ซึ่งในนั้นรวมถึงเงินเฟ้อพุ่งสูงและเศรษฐกิจชะลอตัว"

นับตั้งแต่กลับเข้าสู่อำนาจ ทรัมป์โหมกระพือสงครามการค้า ด้วยการสั่งรีดภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าสหรัฐฯ จากประเทศต่างๆทั่วโลก ยกเว้นจีน โดยในส่วนของปักกิ่งนั้น เขายกระดับมาตรการรีดภาษี ด้วยการปรับเพิ่มเพดานภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 145% แต่มีข้อยกเว้นสำหรับสินค้าบางรายการ ในนั้นรวมถึงสมาร์ทโฟน กระตุ้นให้ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการรีดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 125%

ไม่เพียงเท่านั้น ทำเนียบขาวในวันพุธ(16เม.ย.) เตือนว่าหากมีการรีดภาษีเพิ่มเติมจากเพดานภาษีในปัจจุบัน สินค้าบางรายการของจีนอาจถูกรีดภาษีในระดับ 245% เลยทีเดียว

ประธานาธิบดีสหรัฐฯอ้างว่ามาตรการรีดภาษีจะช่วยส่งเสริมการผลิตและการจ้างงานในอเมริกา แต่ความเป็นจริงมันโหมกระพือความกังวลในวอลล์สตรีท ฉุดให้ตลาดหุ้นอเมริกาดิ่งลงอย่างหนัก

แต่สิ่งที่อยู่ในความกังวลของรัฐบาลทรัมป์มากกว่าตลาดหุ้นก็คือ การที่พวกนักลงทุนเทขายพันบัตรรัฐบาลสหรัฐฯออกมาในสัปดาห์ที่แล้ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯดีดตัวขึ้น ผลก็คือรัฐบาลอเมริกาจำเป็นต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรเพิ่มขึ้นตามมา ซึ่งมีรายงานข่าวว่ามันเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ตัดสินใจระงับการรีดภาษีบางส่วน

ปกติแล้ว สหรัฐฯไม่อยากเห็นอัตราดอกเบี้ยระดับสูงในหนี้ของพวกเขา เนื่องจากพันธมิตรรัฐบาลอเมริกาถูกมองในฐานะการลงทุนที่มีความปลอดภัย แต่อัตราผลตอบแทนที่พุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าพวกนักลงทุนกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกแห่งนี้ ทั้งนี้แม้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอ่อนตัวลงมาบ้างในสัปดาห์นี้ แต่มันก็ยังคงสูงลิ่วอยู่ดี

พาวเวลล์ บอกในวันพุธ(16เม.ย.) ว่าผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจ จากการเปลี่ยนแปลงต่างๆของรัฐบาลทรัมป์ ทั้งในด้านการค้า คนเข้าเมือง นโยบายการเงินและกฎเกณฑต่างๆ ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตามแม้มีความไม่แน่นอน แต่เศรษฐกิจอเมริกายังคงอยู่ในสถานะที่เข้มแข็ง

สำหรับตอนนี้ พาวเวลล์ บอกว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไป "เพื่อรอความชัดเจนกว่านี้ ก่อนพิจารณาเปลี่ยนแปลงใดๆ" อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในปัจจุบัน อยู่ที่ระหว่าง 4.25% ถึง 4.5% ซึ่งคงอยู่ในระดับนี้่มาตั้งแต่เดือนธันวาคม หลังมีการปรับลดหลายรอบเมื่อปีที่แล้ว

เฟดถูกทรัมป์โจมตีอย่างต่อเนื่องต่อกรณีที่คงอัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ ให้คำสัญญาต่างๆ ในนั้นรวมถึงจะเรียกร้องให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อปลดเปลื้องภาระหนี้

พวกนักเศรษฐศาสตร์หลายคนคาดหมายว่าหากมาตรการรีดภาษีผลักให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้น เฟดอาจตัดสินใจคงดอกเบี้ยหรือกระทั่งปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่อีกด้านหนึ่งเฟดก็มีภาระหน้าที่ในการคงไว้ซึ่งการจ้างงานระดับสูงสุด เช่นเดียวกับรักษาเสถียรภาพทางราคาด้วยเช่นกัน

เมื่อถูกถามว่าเฟดจะดำเนินการอย่างไร หากติดหล่มอยู่ตรงกลางระหว่างเงินเฟ้อดีดตัวและอัตราคนว่างงานที่เพิ่มขึ้น พาวเวลล์ตอบว่า "เราจะพิจารณาว่าเศรษฐกิจอยู่ห่างจากแต่ละเป้าหมายมากน้อยแค่ไหน และจากนั้นก็มองถึงขอบเขตช่วงเวลาที่ต่างกันออกไป ในการควบคุมราคาสินค้าและฉุดให้ตัวเลขคนว่างงานลดต่ำลง" พาวเวลล์ระบุ

(ที่มา:บีบีซี)


กำลังโหลดความคิดเห็น