xs
xsm
sm
md
lg

‘ทรัมป์’ ตัดงบอุดหนุน $2,300 ล้าน ‘ม.ฮาร์วาร์ด’ หลังขัดคำสั่งให้เลิก 'นโยบาย DEI-ปราบลัทธิต้านยิว'

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สหรัฐฯ ประกาศระงับเงินอุดหนุนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) จำนวน 2,300 ล้านดอลลาร์ หลังทางสถาบันออกมาปฏิเสธข้อเรียกร้องหลายอย่างของรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งพวกเขาชี้ว่าเป็นการ “ยกอำนาจควบคุม” สถานศึกษาให้กับรัฐบาลอนุรักษนิยมที่มองมหาวิทยาลัยเป็นพวก “ฝ่ายซ้ายที่อันตราย”

คำสั่งตัดงบมีขึ้นหลังจากที่รัฐบาล ทรัมป์ ออกมาประกาศเมื่อเดือน มี.ค. ว่าจะทบทวนสัญญาของรัฐและเงินอุดหนุนรวม 9,000 ล้านดอลลาร์ที่ให้แก่ฮาร์วาร์ด โดยเป็นส่วนหนึ่งในแผนกดดันให้ทางสถาบันต้องปราบปรามแนวคิดต่อต้านชาวเซมิติก (anti-Semitism) ซึ่งปะทุขึ้นภายในมหาวิทยาลัยจากกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาประท้วงสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา

เมื่อวันจันทร์ (14) คณะทำงานของกระทรวงการศึกษาว่าด้วยการปราบปรามลัทธิต่อต้านชาวเซมิติกได้กล่าวหามหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาว่า “มีทัศนคติที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังในสถาบันการศึกษาอันทรงเกียรติต่างๆ ของเรา โดยมองว่างบอุดหนุนจากภาครัฐไม่ได้มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่จะต้องธำรงไว้ซึ่งกฎหมายสิทธิพลเมือง”

“ปัญหาในการเรียนรู้ที่ระบาดไปทั่วสถานศึกษาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ การข่มขู่คุกคามนักศึกษาชาวยิวก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจอดทนได้ ถึงเวลาแล้วที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทั้งหลายจะต้องมองปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่ และดำเนินการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอย่างมีความหมาย หากพวกเขายังอยากจะได้รับเงินสนับสนุนจากภาษีประชาชนอยู่”

“คณะทำงานร่วมเพื่อปราบปรามลัทธิต่อต้านชาวเซมิติกจึงขอประกาศระงับเงินอุดหนุน 2,200 ล้านดอลลาร์ และสัญญาอีก 60 ล้านดอลลาร์สำหรับช่วงเวลาหลายปีที่ให้แก่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด”

ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งระหว่างรัฐบาล ทรัมป์ กับมหาวิทยาลัยที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และกระพือความกังวลเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพทางการศึกษาในสหรัฐฯ

ทรัมป์ ได้สั่งระงับเงินอุดหนุนมหาวิทยาลัยหลายแห่งเป็นเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อกดดันให้สถานศึกษาเหล่านี้ปรับเปลี่ยนนโยบาย โดยอ้างว่าพวกเขา “ล้มเหลว” ในการปราบปรามลัทธิต่อต้านชาวเซมิติกในรั้วมหาวิทยาลัย

นักศึกษาต่างชาติบางคนที่เข้าร่วมการประท้วงสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ถูกจับกุมและเข้าสู่กระบวนการเนรเทศ ขณะที่นักศึกษาอีกหลายร้อยคนก็ถูกยกเลิกวีซ่า

ในจดหมายซึ่งออกเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (11) กระทรวงการศึกษาระบุว่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด “ล้มเหลวในการปฏิบัติตามเงื่อนไขด้านวิชาการและสิทธิพลเมืองที่คู่ควรแก่การได้รับเงินลงทุนจากรัฐบาลกลาง” พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้ฮาร์วาร์ดดำเนินมาตรการเพื่อลดทอนอิทธิพลของคณะ เจ้าหน้าที่ และนักศึกษาที่ “เอาใจใส่ในเรื่องของการเคลื่อนไหว (activism) มากกว่าทุนการศึกษา (scholarship)” และให้ตั้งคณะบุคคลภายนอกมาทำหน้าที่ตรวจสอบคณะและนักศึกษาของแต่ละแผนกเพื่อรับรอง “ความหลากหลายด้านมุมมอง”

จดหมายฉบับนี้ยังกำหนดกรอบเวลาภายในเดือน ส.ค. ให้ฮาร์วาร์ดต้องว่าจ้างพนักงานและรับนักศึกษาโดยอิงกับคุณสมบัติเท่านั้น และหยุดการเลือกรับบุคคลโดยอิงกับเชื้อชาติ สีผิว หรือประเทศต้นทาง

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังจะต้องคัดกรองนักศึกษาต่างชาติ “เพื่อป้องกันการรับนักศึกษาที่ต่อต้านค่านิยมแบบอเมริกัน” และจะต้องส่งรายงานต่อหน่วยงานคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ หากพบว่านักศึกษาคนใดละเมิดกฎระเบียบด้านความประพฤติ

อลัน การ์เบอร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ออกจดหมายเปิดผนึกในวันจันทร์ (14) ซึ่งระบุว่า ข้อเรียกร้องจากกระทรวงการศึกษาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะเป็นการเปิดทางให้รัฐบาลกลาง “เข้าควบคุมประชาคมฮาร์วาร์ด” และเสี่ยงที่จะ “ทำลายค่านิยมของมหาวิทยาลัยในการเป็นสถาบันเอกชนที่มุ่งมั่นแสวงหา ผลิต และแพร่กระจายความรู้”

“ไม่ควรมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองใดก็ตาม สามารถมีอำนาจสั่งการมหาวิทยาลัยเอกชนว่าควรจะสอนอะไร ควรจะรับหรือว่าจ้างบุคคลใด หรือจะศึกษาวิชาการในแขนงใดได้บ้าง” การ์เบอร์ ระบุ

กระแสต่อต้านชาวเซมิติกที่ระบาดในมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ นั้นมีมาก่อนที่ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเทอม 2 เมื่อเดือน ม.ค. โดยนักศึกษาโปรปาเลสไตน์ได้เริ่มออกมาชุมนุมประท้วงในหลายมหาวิทยาลัยเมื่อปีที่แล้ว ตามหลังเหตุการณ์ที่กลุ่มฮามาสบุกโจมตีภาคใต้อิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ปี 2023 อันนำมาซึ่งสงครามแก้แค้นครั้งใหญ่ของอิสราเอลที่สังหารพลเรือนปาเลสไตน์ในกาซาไปแล้วมากกว่า 50,000 คน

ที่มา: รอยเตอร์
กำลังโหลดความคิดเห็น