รัฐบาลยูเครนได้แจ้งให้สหรัฐฯ รับทราบว่า การจำกัดขนาดกองทัพหรือความพร้อมในการรบของยูเครนจะถือเป็น “เส้นแดง” ที่เคียฟไม่อาจยอมรับได้ในการเจรจายุติสงครามกับรัสเซีย
ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เคยออกมาเสนอให้ลดขนาดกองทัพยูเครนลง และยังเรียกร้องให้เคียฟล้มเลิกความทะเยอทะยานที่จะเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) รวมถึงจะต้องยอมยก 4 แคว้นทางตะวันออกให้เป็นดินแดนรัสเซียอย่างสมบูรณ์
“นี่คือจุดยืนในเชิงหลักการของยูเครน ไม่มีใคร – และแน่นอนว่าไม่ใช่ผู้รุกรานอย่างรัสเซีย – ที่จะสามารถชี้นิ้วสั่งการว่ายูเครนควรจะมีกองทัพแบบไหน” พาฟโล พาลิซา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์
พาลิซา เป็นรองหัวหน้าสำนักงานของประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี และอยู่ในทีมเจรจาที่ไปพูดคุยกับคณะผู้แทนสหรัฐฯ ที่ซาอุดีอาระเบียเมื่อเดือน มี.ค.
เขาระบุว่า กองทัพที่มีความพร้อมอย่างเต็มที่คือการค้ำประกันความมั่นคงที่ดีที่สุดสำหรับยูเครน หากว่ามีการบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซียในอนาคต
“ผมเดาได้ว่าสหพันธรัฐรัสเซียคิดอะไรอยู่ พวกเขาอาจจะอยากเตรียมพร้อม หรือทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นในอนาคต แต่ไม่มีทาง หน้าที่ของพวกเราคือการศึกษาบทเรียน (ในอดีต) ให้ดี” พาลิซา กล่าว
ระหว่างการพูดคุยครั้งแรกกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ซาอุฯ รัฐบาลยูเครนได้ตกลงยอมรับข้อตกลงหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข 30 วันที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เสนอ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ยอมส่งความช่วยเหลือทางทหารและแชร์ข่าวกรองกับเคียฟอีกครั้งหลังจากที่สั่งระงับไปชั่วเวลาสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม รัสเซียยืนยันว่าจะต้องมีการบรรลุซึ่งเงื่อนไขสำคัญบางอย่างเสียก่อนจึงจะหยุดยิงได้ จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายก็ยอมตกลงหยุดยิงเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน ทว่าในทางปฏิบัติจริงก็ยังคงมีการกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าละเมิดสัญญา
เจ้าหน้าที่ยูเครนได้แชร์หลักฐานให้สหรัฐฯ รับรู้ถึงปฏิบัติการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานโดยฝ่ายรัสเซีย และ พาลิซา ย้ำว่ายูเครนเป็นฝ่ายที่ปฏิบัติตามข้อตกลง
รัฐบาล ทรัมป์ พยายามผลักดันให้รัสเซียและยูเครนยุติสงครามเต็มขั้นที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่เดือน ก.พ. ปี 2022 ทว่าสันติภาพที่ยั่งยืนดูเหมือนจะยังห่างไกลความจริง
การสู้รบยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนายพลระดับสูงของยูเครนระบุว่า ปฏิบัติการโจมตีระลอกใหม่ของฝ่ายรัสเซียกำลังเกิดขึ้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยปัจจุบันรัสเซียยึดครองดินแดนยูเครนอยู่ราวๆ 1 ใน 5
นอกจากจะไม่ลดขนาดกองทัพแล้ว เคียฟยังประกาศกร้าวว่าจะไม่มีวันยอมรับอธิปไตยของรัสเซียเหนือดินแดนยูเครน แม้จะแสดงท่าทียอมรับกลายๆ ว่าคงไม่อาจทวงพื้นที่ทั้งหมดคืนได้ด้วยกำลังทหารก็ตาม
ที่มา: รอยเตอร์