"โลกที่เรารู้จักจบสิ้นไปแล้ว" จากคำกล่าวของ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในวันอาทิตย์(6เม.ย.) ความเห็นซึ่งมีขึ้นในขณะที่ทั่วโลกกำลังเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบจากมาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯ
คำแถลงมาตรการรีดภาษีอย่างครอบคลุมเมื่อวันพุธ(2เม.ย.) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า "เราไม่อาจให้ค่าข้อสมมุติฐานเดิมๆได้อีกต่อไป" สตาร์เมอร์กล่าวในบทความที่เขียนลงหนังสือพิมพ์ซันเดย์เทเลกราฟ "โลกที่เรารู้จักได้จากไปแล้ว" พร้อมระบุ "โลกใหม่จะถูกปกครองโดยกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นน้อยลง และจะหันหน้าสู่ข้อตกลงต่างๆและความเป็นหุ้นส่วนเพิ่มเติม"
มาตรการรีดภาษีก่อแรงสั่นสะเทือนไปยังตลาดต่างๆ และเวลานี้ทุกสายตาจับต้องไปที่การเปิดตลาดในวันจันทร์(7เม.ย.) ท่ามกลางเสียงเตือนของทรัมป์ ส่งถึงอเมริกันชน ว่าความเจ็บปวดรออยู่เบื้องหน้า "นี่คือการปฏิวัติทางเศรษฐกิจและเราจะชนะ" ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันเขียนบนทรัสต์โซเชียลในวันเสาร์(5เม.ย.) "มันคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผลลัพธ์ในบั้นปลาย จะเป็นประวัติศาสตร์"
คำขู่รีดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 34% ของทรัมป์ มีกำหนดบังคับใช้ในสัปดาห์หน้า กระตุ้นให้ปักกิ่งแถลงว่าจะรีดภาษีผลิตภัณฑ์นำเข้าจากสหรัฐฯเช่นกัน 34% เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนเป็นต้นไป
อียูและญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในคู่หูทางการค้าราวๆ 60 ชาติที่เตรียมเผชิญกับอัตราภาษีที่สูงขึ้นกว่าเดิมในวันที่ 9 เมษายน โหมกระพือความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยในชาติเศรษฐกิจชั้นนำของโลกบางแห่ง
จนถึงตอนนี้ สหราชอาณาจักรถูกรีดภาษีค่อนข้างเบาเพียง 10% และ สตาร์เมอร์ เขียนในวันอาทิตย์(6เม.ย.) ว่าแนวทางตอบโต้ของประเทศนั้น จะอยู่บนความถูกต้องชอบธรรม สงบเยือกเย็น ก่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติและตระหนักถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ
ผู้นำของสหราชอาณาจักรเน้นย้ำว่ารัฐบาลของเขาเชื่อว่า "จะไม่มีใครเป็นผู้ชนะในสงครามการค้า" และยุทธศาสตร์ที่จะนำมาใช้อย่างปัจจุบันทันด่วนคือ "คงไว้ซึ่งความสงบเยือกเย็น และสู้เพื่อข้อตกลงที่ดีที่สุด"
อย่างไรก็ตามเขายืนกรานว่าข้อตกลงการค้าใดๆกับสหรัฐฯจะบรรลุกันได้ "ก็ต่อเมื่อมันเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับภาคธุรกิจของสหราชอาณาจักร และประกาศกร้าวว่า "ทุกทางเลือกยังวางอยู่บนโต๊ะ" ในการตอบโต้มาตรการรีดภาษีของอเมริกา
ศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติ (CSIS) ระบุว่ามาตรการรีดภาษีทั่วโลกครั้งใหม่ของทรัมป์ "ถือเป็นการขึ้นภาษีครั้งที่กว้างขวางที่สุดนับตั้งแต่กฎหมาย Smoot-Hawley Tariff Act ปี 1930 ที่จำได้ว่า มันโหมกระพือสงครามการค้าระดับโลก และก่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่(Great Depression) หนักหน่วงขึ้น"
ด้วยยอมรับว่าพื้นฐานเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป สตาร์เมอร์บอกว่าเวลานี้เขาเตรียมพร้อมสำหรับใช้การแทรกแซงของทางรัฐโดยตรง เข้าปกป้องบางภาคส่วนของเศรษฐกิจของประเทศ
"สัปดาห์นี้เราจะมีแผนชาร์จเทอร์โบที่จะส่งเสริมการแข่งขันภายในประเทศของเรา" เขาเขียน "เราพร้อมใช้นโยบายอุตสาหกรรมช่วยภาคธุรกิจของสหราชอาณาจักรหลบภัยจากพายุ บางคนอาจรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้ แต่ง่ายๆเลย เราไม่อาจยึดติดกับความรู้สึกเก่าๆ ตอนที่โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว"
(ที่มา:เอเอฟพี)