ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เตือนไปยังสหภาพยุโรป (อียู) และแคนาดาว่าอย่าได้คิดผนึกกำลังตอบโต้มาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่าหากทั้ง 2 ฝ่ายจับมือกันต่อต้านอเมริกาจะต้องเผชิญผลลัพธ์ที่รุนแรง
ทรัมป์ ประกาศว่าวันที่ 2 เม.ย. นี้จะเป็น “วันแห่งการปลดปล่อย” (Liberation Day) ซึ่งหมายถึงกำหนดเส้นตายที่สหรัฐฯ จะประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก หลังจากที่ถูกนานาชาติ “รุมกินโต๊ะ” มานาน
แม้ ทรัมป์ จะพูดว่านโยบายที่ประกาศใช้ไปแล้วยัง “ไม่สุดทาง” เสียทีเดียว แต่ก็ไม่วายข่มขู่ประเทศคู่ค้ารายสำคัญๆ ว่าจะโดนคว่ำบาตรหนักกว่านี้ หากคิดรวมหัวกันสร้างความเสียหายต่อสหรัฐฯ
ทรัมป์ โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social ว่า “หากสหภาพยุโรปร่วมมือกับแคนาดาเพื่อที่จะก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อสหรัฐฯ มาตรการรีดภาษีครั้งใหญ่ที่หนักกว่าปัจจุบันนี้จะถูกนำมาใช้กับพวกเขา เพื่อปกป้องมิตรที่ดีที่สุดที่ทั้ง 2 ฝ่ายเคยมี!”
ทั้งนี้ ยังไม่ชัดเจนว่า ทรัมป์ เชื่อว่าอียูและแคนาดามีแผนจะทำอะไรเพื่อทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ
คำขู่ของผู้นำสหรัฐฯ มีขึ้นไม่นานหลังจากที่รัฐบาลของเขาประกาศเก็บภาษีรถยนต์ทุกประเภทที่นำเข้าอเมริกาในอัตรา 25% ไม่ว่าจะมาจากประเทศใดก็ตาม
If the European Union works with Canada in order to do economic harm to the USA, large scale Tariffs, far larger than currently planned, will be placed on them both in order to protect the best friend that each of those two countries has ever had!
Donald Trump Truth Social…— Donald J. Trump Posts From His Truth Social (@TrumpDailyPosts) March 27, 2025
มาตรการนี้ทำให้ อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ออกมาส่งสัญญาณตอบโต้อย่างแข็งกร้าว โดยเตือนว่า “ภาษีศุลกากรก็คือการเก็บภาษี ไม่ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจ และเลวร้ายยิ่งกว่าสำหรับผู้บริโภคทั้งในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป”
ฟอน แดร์ ไลเอิน ยืนยันว่า อียูจะประเมินผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ สั่งรีดภาษีนำเข้ารถยนต์ซึ่งถือเป็นภาคอุตสาหกรรมหลักของอียู รวมไปถึงมาตรการอื่นๆ ที่คาดว่า ทรัมป์ จะทยอยประกาศออกมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
“อียูจะพยายามแก้ไขปัญหาด้วยวิธีเจรจา แต่ขณะเดียวกันเราก็จะปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเราด้วย” เธอกล่าว
ด้านนายกรัฐมนตรี มาร์ก คาร์นีย์ แห่งแคนาดาวิจารณ์คำสั่งรีดภาษีรถยนต์ของ ทรัมป์ ว่าเป็น “การโจมตีโดยตรง” ต่อชาติพันธมิตร พร้อมยืนยันว่า “เราจะปกป้องแรงงานของเรา เราจะปกป้องบริษัทของเรา เราจะปกป้องประเทศของเรา”
ที่มา: Fortune