(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Pro-Beijing paper: Anti-sanctions law can block Li’s ports deal
by Yong Jian
22/03/2025
หากนำเอากฎหมายต่อต้านการถูกต่างชาติแซงก์ชั่นคว่ำบาตรมาใช้ ย่อมสามารถที่จะหยุดยั้งไม่ให้เจ้าสัวผู้เฒ่า ลี กาชิง ขายท่าเรือปานามาได้ ทว่ามันจะกลับส่งผลกระทบต่อพวกธนาคารและบริษัทฮ่องกงรายอื่นๆ เป็นจำนวนมาก
สื่อในฮ่องกงที่เป็นปากเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กำลังออกมาเสนอแนะให้ใช้กลไกต่อต้านการถูกแซงก์ชั่นของประเทศจีน มารับมือกับการที่ ลี กาชิง เจ้าสัวใหญ่ฮ่องกง เสนอเทขายกิจการท่าเรือที่มีอยู่ในทั่วโลกของเขา รวมทั้งท่าเรือ 2 แห่งที่คลองปานามาด้วย ไปให้แก่กลุ่มร่วมค้าที่นำโดย แบล็กร็อก (BlackRock) บริษัทการลงทุนรายบิ๊กเบิ้มสัญชาติอเมริกัน
ในข้อเขียนแสดงความเห็นชิ้นล่าสุด [1] ของ ต้ากุงเป้า (Ta Kung Pao) หนังสือพิมพ์โปรปักกิ่งออกในฮ่องกงรายนี้ ซึ่งใช้ชื่อเรื่องว่า “Stop the transaction, avoid losing a lot to save a little” (หยุดยั้งธุรกรรมนี้เสียเถอะ หลีกเลี่ยงการต้องสูญเสียอะไรไปมากมายเพียงเพื่อรักษาส่วนน้อยนิดเอาไว้) กล่าวรบเร้าให้ ลี ยอมโยนดีลเสนอขายกิจการท่าเรือของเขาทิ้งไปเสีย
ตั้งแต่เริ่มเปิดฉากโจมตี ลี เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มีนาคมเป็นต้นมา หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้ติพิมพ์เผยแพร่บทความบทวิจารณ์ และรายงานข่าวในหัวข้อนี้รวมแล้วมากกว่า 10 ชิ้น ขณะที่ในชิ้นก่อนๆ เคยเรียก ลี ว่าเป็น “คนทรยศต่อประชาชนจีน” และเป็นนักธุรกิจที่ไม่รักชาติ ข้อเขียนชิ้นล่าสุดนี้ของ ต้ากุงเป้า มีการอ้างอิงถึงเครื่องมือทางกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมอย่างหนึ่งขึ้นมาเป็นครั้งแรก เครื่องมือที่ว่านี้คือ กฎหมายต่อต้านการถูกต่างชาติแซงก์ชั่นคว่ำบาตร
“ทั้งในระดับชาติ และในระดับของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ระบบกฎหมายของเรามีความสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง” เป็นข้อความในบทวิจารณ์ชิ้นนี้ที่ลงนามผู้เขียนว่า วั่น อิ๋ว์นผิง (Wan Yunping) ทั้งนี้ชื่อนี้น่าจะเป็นนามปากกา เนื่องจากไม่มีการระบุตำแหน่งหน้าที่การงานของผู้เขียน รวมทั้งชื่อนี้ก็ไม่เคยมีข้อเขียนที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ใดๆ มาก่อนเลย
“เพื่อตอบโต้รับมือกับการแซงก์ชั่นของสหรัฐฯและฝ่ายตะวันตกทั้งหลายในระยะไม่กี่ปีหลังๆ มานี้ ประเทศของเราได้เก็บรับสะสมประสบการณ์อันอุดมสมบูรณ์ในเรื่องการต่อต้านการถูกแซงก์ชั่น และนำมาสร้างเป็นกลไกตอบโต้รับมือที่ทรงประสิทธิภาพขึ้นมา” วั่น กล่าว “ทั้งในระดับรัฐและในระดับเขตบริหารพิเศษ ต่างมีกลไกทางกฏหมายหลายๆ อย่างสำหรับรับมือกับสิ่งที่ถูกอ้างว่าเป็น ‘ธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย’ ทว่ากลับเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายให้แก่ผลประโยชน์ต่างๆ ของประเทศชาติ”
ผู้เขียนผู้นี้บอกว่า พวกที่กำลังเน้นย้ำว่า ดีลที่ ลี เสนอออกมาคราวนี้ เป็น “ธุรกรรมที่ชอบธรรมถูกต้องตามกฎหมาย” ภายใต้หลักการของเสรีภาพในการทำสัญญาข้อตกลงต่างๆ นั้น เป็นพวกที่ “ไร้เดียงสาหรือไม่ก็เลอะเลือนด้วยความชราเกินไปแล้ว”
“พิจารณาจากระดับการดำเนินการของการควบรวมและเข้าซื้อกิจการเชิงพาณิชย์ (commercial mergers and acquisitions) แล้ว ผมขอแนะนำให้พวกบริษัทและบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหลายยุติการดำเนินการใดๆ ต่อไปอีก, หลีกเลี่ยงจากการคาดคำนวณที่ผิดพลาด, และหลีกเลี่ยงจากการต้องสูญเสียอะไรไปมากมายเพียงเพื่อรักษาส่วนน้อยนิดเอาไว้” วั่น บอก
ผู้เขียนผู้นี้กล่าวอีกว่า ดีลคราวนี้ของ ลี ยังละเมิดหลักการของข้อบัญญัติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Ordinance) ของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง [2] ซึ่งเน้นย้ำเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “หลักการสูงสุดของนโยบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ” (one country, two systems) คือการพิทักษ์ปกป้องอธิปไตยแห่งชาติ, ความมั่นคง, และผลประโยชน์ต่างๆ ของการพัฒนา” ทั้งนี้สภานิติบัญญัติ (The Legislative Council) ของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้ผ่านข้อบัญญัติฉบับนี้ ซึ่งร่างขึ้นบนพื้นฐานของมาตรา 23 ของกฎหมายพื้นฐาน (Basic Law เทียบเท่ากับกฎหมายรัฐธรรมนูญ) ของฮ่องกง เมื่อเดือนมีนาคมปี 2024
“ธุรกรรมนี้ละเมิดหลักการสูงสุดดังกล่าวนี้อย่างโต้งๆ ตรงๆ เนื่องจากมันเป็นธุรกรรมที่จะสร้างความเสียหายให้แก่ความมั่นคงแห่งชาติของจีนและผลประโยชน์ต่างๆ ของการพัฒนาของจีน” เขากล่าว “การละเมิดหลักการของกฎหมายใดๆ ก็คือการละเมิดกฎหมายฉบับนั้นนั่นเอง”
“ตลอดทั่วทั้งระบบกฎหมายนี้ ไม่มีมาตราทางกฎหมายใดเลยที่ระบุตรงๆ เกี่ยวกับผลต่อเนื่องที่จะได้รับจากการกระทำละเมิดเช่นนี้” ข้อเขียนของ วั่น กล่าวต่อไป “อย่างไรก็ดี การปราศจากตัวเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าด้วยผลต่อเนื่องทางกฎหมายเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าการละเมิดไม่มีผลในทางกฎหมายใดๆ”
กลับมายังเรื่องกฎหมายต่อต้านการถูกแซงก์ชั่นของจีน เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2021 ปักกิ่งได้มีการเสนอแนะ [3] ที่จะขยายกฎหมายต่อต้านการถูกต่างชาติแซงก์ชั่น (Anti-Foreign Sanctions Law) ของตน ให้ครอบคลุมบังคับใช้ในฮ่องกงด้วย ด้วยการนำเอากฎหมายฉบับดังกล่าวไปบรรจุไว้ภาคผนวก 3 (Annex III) ของกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกง ทั้งนี้ ถ้าหากมีผลบังคับใช้ กฎหมายฉบับนี้ก็จะส่งผลห้ามไม่ให้พวกบริษัทหรือพวกธนาคารฮ่องกง นำเอามาตรการแซงก์ชั่นของต่างประเทศ มาบังคับใช้เอากับจีน
อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุดแล้ว คณะกรรมการประจำ (standing committee) ของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (National People’s Congress หรือ NPC ซึ่งก็คือรัฐสภาจีน) ก็ไม่ได้หยิบยกข้อเสนอแนะดังกล่าวมาให้อภิปรายกัน ภายหลังพิจารณาเห็นว่าเรื่องนี้จะทำให้พวกธนาคารและสถาบันการเงินทั้งหลายของฮ่องกงตกอยู่ในฐานะลำบาก ในท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และจุดชนวนให้มีเงินทุนไหลออกไปจากฮ่องกง
กระนั้นก็ตาม มีผู้สังเกตการณ์บางรายกล่าว [4] ว่า ปักกิ่งยังคงสามารถที่จะใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่มีอยู่แล้ว ตลอดจนยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะนำเอากฎหมายต่อต้านการถูกต่างชาติแซงก์ชั่นที่กล่าวข้างต้นมาบังคับใช้ในฮ่องกง เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับจัดการกับกรณีของ ลี ทว่าในความเห็นของ รอนนี ต่ง (Ronny Tong) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสภาบริหารแห่งฮ่องกง (Executive Council of Hong Kong ทำหน้าที่เสมือนเป็นคณะรัฐมนตรี ที่คอยให้คำปรึกษาแนะนำแก่ประธานบริหารของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง) บอกว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่ปักกิ่งจะเข้ามาแทรกแซงในกรณีนี้ ด้วยการใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ
“สหราชอาณาจักรนั้นออกกฎหมายพระราชบัญญัติความมั่นคงแห่งชาติด้านการลงทุน (National Security Investment Act) เมื่อปี 2021 เพื่อตรวจสอบพิจารณาการลงทุนทั้งขาออกและขาเข้า ขณะที่สหรัฐฯเมื่อเร็วๆ นี้ก็สั่งห้ามพวกบริษัทอเมริกันมาลงทุนในจีน และห้ามพวกบริษัทจีนเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ” ต่ง โพสต์ [5] ข้อเความนี้ทางโซเชียลมีเดีย
เขาบอกต่อไปว่า “สื่อมวลชนและประชาคมระหว่างประเทศต่างไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์การจำกัดกีดกั้นเหล่านี้ แต่ถ้าหากว่าเป็นทางรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเข้าแทรกแซงในกรณีใดก็ตาม โดยอ้างพวกเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติแล้ว แน่นอนทีเดียวว่ามันจะดึงดูดให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และการใส่ร้ายป้ายสีกันอย่างท่วมท้น”
ต่งเสนอแนะว่า “เราจะต้องรับมือกับสิ่งต่างๆ อย่างเป็นธรรมอยู่เสมอ และในทางสอดคล้องกับตัวบทกฎหมาย” และย้ำให้ยอมรับความเป็นจริงที่ว่า “มันมีความแตกต่างกันอยู่ ระหว่างจีน กับทางสหราชอาณาจักร-สหรัฐฯ”
เขายังหันมาเสนอแนะด้วยว่า ลี จะต้องเป็นผู้พิจารณาว่าการเทขายกิจการท่าเรือต่างๆ ของเขานี้ เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับผลประโยชน์แห่งชาติหรือไม่
ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ปักกิ่งจะสกัดกั้นขัดขวางดีลขายท่าเรือของ ลี โดยใช้กฎหมายต่อต้านการถูกต่างชาติแซงก์ชั่นหรือเปล่า แต่ถ้าหากมีการตัดสินใจให้ดำเนินการเช่นนั้น คณะกรรมการประจำของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ ก็จะต้องจัดการประชุมลงมติกัน ก่อนที่ ซีเค ฮัทชิสัน และกลุ่มร่วมค้านำโดย แบล็กร็อก-Til จะลงนามในเอกสารเพื่อการทำธุรกรรมนี้อย่างแน่นอนชัดเจน ในวันที่ 2 เมษายนนี้
คำแถลงของ วิกเตอร์ ลี
เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ซีเค ฮัทชิสัน (CK Hutchison) บริษัทเรือธงของ ลี ประกาศว่า ได้ทำความตกลงที่จะขายหุ้น 80% ซึ่งตนเองถือครองอยู่ใน ฮัทชืสัน พอร์ตส์ (Hutchison Ports) –โดยที่บริษัทลูกของ ซีเค ฮัทชิสัน แห่งนี้ เป็นเจ้าของ, ผู้ดำเนินการ, และผู้พัฒนา ท่าเรือรวมทั้งหมด 43 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยท่าเทียบเรือทั้งสิ้น 199 ท่า กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ 23 ประเทศ— ให้แก่กลุ่มร่วมค้าที่นำโดย แบล็กร็อก, โกลบอล อินฟราสตรักเจอร์ พาร์ตเนอร์ส (Global Infrastructure Partners) และ เทอร์มินัล อินเวสต์เมนต์ ลิมิเต็ด (Terminal Investment Limited หรือ TiL) ในราคา 22,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หลังจากนั้น มีรายงานว่า วิกเตอร์ ลี บุตรชายคนหัวปีของ ลี กาชิง และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานของ ซีเค ฮัทชิสัน ด้วย ได้พบปะกับ “ผู้นำระดับชาติ” คนหนึ่งของจีนในกรุงปักกิ่งเพื่อหารือกันถึงดีลดังกล่าว ทว่าเขายืนกรานว่าจะเดินหน้าทำธุรกรรมนี้ต่อไป
ในวันที่ 18 มีนาคม สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า พวกผู้นำอาวุโสของจีนได้ออกคำสั่งให้หน่วยงานรัฐบาลหลายๆ แห่ง รวมทั้ง สำนักงานบริหารแห่งรัฐเพื่อการจัดระเบียบตลาด (State Administration for Market Regulation) ให้พินิจพิจารณาดีลนี้อย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่าทำให้เกิดรอยรั่วทางด้านความมั่นคงขึ้นมา หรือมีการละเมิดมาตรการต่อต้านการผูกขาดใดๆ หรือไม่ ถึงแม้ มันไม่จำเป็นว่าการตรวจสอบนี้จะต้องส่งผลให้มีการลงมือดำเนินการใดๆ ติดตามมา
ขณะที่ วิกเตอร์ ลี ระบุในประกาศผลประกอบการประจำปี 2024 ของ ซีเค ฮัทชิสัน ซึ่งถูกนำออกมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา [6] ว่า “มองไปข้างหน้าสู่ปี 2025 อาจจะมีปัจจัยด้านลบในรูปของความปั่นป่วนทางด้านห่วงโซ่อุปทานซึ่งคาดหมายกันว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นๆ ปี สืบเนื่องจากสายการเดินเรือต่างๆ กำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การจับกลุ่มเป็นพันธมิตรกันใหม่ของพวกเขา ตลอดจนความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ก็กำลังส่งผลกระทบต่อการค้าของโลก”
เขาบอกว่า ธุรกิจด้านท่าเรือของบริษัทจะยังคงกระเตื้องดีขึ้นได้ในปี 2025 นี้ ด้วยการเติบโตจากภายในในระดับพอประมาณ ทั้งในเอเชียและทางตะวันออกกลาง, การขยายตัวของสิ่งอำนวยความสะดวกด้านท่าเรือที่มีอยู่แล้วในเวลานี้, และความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในรอบปีซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2024 รายรับจากธุรกิจด้านท่าเรือและบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของบริษัท มีการเติบโตในอัตรา 11% ขึ้นสู่ระดับ 45,300 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (5,830 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ขณะที่ กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (earnings before interest, taxes, depreciation, and amortization หรือ EBITDA) ของภาคส่วนนี้ เพิ่มสูงขึ้น 19% มาอยู่ที่ 16,200 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
การถกเถียงของพวกผู้รู้ในประเทศจีน
ในประเทศจีนนั้น คอมเมนเตเตอร์ส่วนใหญ่ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ [7] ลี กาชิง เจ้าสัวผู้เฒ่าที่ปัจจุบันอายุ 96 ปีแล้ว ในเรื่องที่เขาจะเทขายกิจการท่าเรือทั่วโลกของเขาให้แก่ แบล็กร็อก ถึงแม้มีอยู่บ้างที่ออกมาปกป้องแก้ต่างให้
นักเขียนที่ตั้งฐานอยู่ในมณฑลฝู่เจี้ยนผู้หนึ่ง ซึ่งใช้นามปากกาว่า “ซิงหัว ด้าไป๋” (Xinghua Dabai) กล่าวในข้อเขียนที่นำออกเผยแพร่เมื่อวันพุธ (19 มี.ค.) เท้าความหลังว่า ลี เคยประสบความล้มเหลวในการขายหุ้น 40% ของบริษัทฮัทชิสัน พอร์ตส์ ให้แก่รัฐวิสาหกิจของจีนรายหนึ่ง ในราคาประมาณ 150,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงเมื่อปี 2015 สืบเนื่องจากราคาที่เขาเสนอมานี้สูงเกินไป
“ผู้คนจำนวนมากสอบถามกันว่า ในอดีตที่ผ่านมาทำไมจีนจึงไม่เข้าไปซื้อกิจการท่าเรือของ ลี ล่ะ ความจริงแล้วมันไม่ใช่ว่าเราไม่ต้องการซื้อนะ” นักเขียนผู้นี้กล่าว “ในรายงานข่าวชิ้นหนึ่งที่เผยแพร่เมื่อปี 2015 [8] ระบุเอาไว้ว่า พวกผู้ซื้อฝ่ายจีนรู้สึกว่าราคาที่ ลี ตั้งเอาไว้ในครั้งนั้นมันสูงเกินไป นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังไม่ต้องการที่จะได้ถือครองหุ้นเพียงแค่ส่วนข้างน้อย (40%)”
นักเขียนผู้นี้แจกแจงว่า ราคาขายที่ ลี เสนอไว้ในปี 2015 เท่ากับประมาณ 26 ถึง 28 เท่าของ ผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของทรัพย์สินเหล่านี้ สูงเป็นกว่า 2 เท่าตัวทีเดียวของการให้ราคาของอุตสาหกรรมนี้ในเวลานั้นซึ่งอยู่ถึง 10 ถึง 12 เท่าตัวเท่านั้น เขาชี้ว่าตอนนี้ ลี เสนอขายทรัพย์สินท่าเรือของเขาถึง 80% ให้แก่ แบล็กร็อก ด้วยราคาเท่ากับ 11 ถึง 13 เท่าของ EBITDA เปรียบเทียบกับการให้ราคาของอุตสาหกรรมในเวลานี้ซึ่งอยู่ที่ 9 ถึง 10 เท่าตัว
เขากล่าวต่อไปว่า ลี จึงสมควรที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในคราวนี้ เนื่องจากเขากำลังขายท่าเรือของเขาให้แก่ แบล็กร็อก ด้วยการตีราคาที่ต่ำลงมามาก
“บางคนอาจจะตั้งคำถามขึ้นมาด้วยว่า ทำไมจีนจึงไม่เข้าซื้อท่าเรือเหล่านี้ในตอนนี้ล่ะ” ข้อเขียนนี้ของเขาตั้งปุจฉาต่อ และวิสัชนาว่า เนื่องจาก “ดีลดังกล่าวนี้จะเกี่ยวข้องกับการถูกตรวจสอบในประเด็นเรื่องต่อต้านการผูกขาด จากเขตอำนาจทางกฎหมาย 12 เขตด้วยกัน โดยในจำนวนนี้มีทั้งสหภาพยุโรป, สหรัฐฯ, และบราซิล เห็นกันได้ชัดเจนอยู่แล้วว่า สหรัฐฯจะไม่ยินยอมอนุมัติแน่ๆ ถ้าหากพวกรัฐวิสาหกิจของเราเป็นคนเข้าไปซื้อ ฮัทชิสัน พอร์ตส์”
อย่างไรก็ตาม แลร์รี หลาง (Larry Lang) นักเศรษฐศาสตร์ชาวไต้หวันที่ตั้งฐานอยู่ในฮ่องกง แสดงความเห็นที่ต่างออกไป เขากล่าวในการให้สัมภาษณ์ [9] ว่า ลี ไม่สมควรถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการขายทรัพย์สินของตัวเองเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อกิจการการดำเนินงานท่าเรือนั้นถือเป็นภาคอุตสาหกรรมที่กำลังตกต่ำเสื่อมถอย
หลาง แก้ต่างให้เจ้าสัวผู้นี้ต่อไปว่า ลี เป็นผู้ที่สามารถชนะใจได้รับความเชื่อถือจากสหราชอาณาจักรจนได้เข้าครอบครอง ฮัทชิสัน วัมเปา (Hutchison Whampoa) (ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ ฮัทชิสัน พอร์ตส์) เมื่อปี 1979 แล้วจากนั้นก็ใช้เวลาหลายทศวรรษในการลงแรงขยับขยายมัน นอกจากนั้นแล้ว ลี มีฐานะเป็นพลเมืองของแคนาดา จึงไม่สมควรถูกวินิจฉัยตัดสินจากความรักชาติจีนของเขา
นักเศรษฐศาสตร์ไต้หวันผู้นี้กล่าวว่า ในเมื่อจีนเวลานี้ก็ได้เริ่มต้นก่อสร้างท่าเรือและเส้นทางรถไฟต่างๆ ในต่างแดนในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ผลกระทบทางลบจากดีลของ ลี ที่มีต่อประเทศจีน จึงจะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น
หย่ง เจี้ยน เป็นผู้ร่วมเขียนรายงานข่าวส่งให้แก่เอเชียไทมส์ เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์ชาวจีนที่ชำนาญเป็นพิเศษในเรื่องเทคโนโลยี, เศรษฐกิจ, และการเมืองของจีน
เชิงอรรถ
[1] https://www.takungpao.com/opinion/233119/2025/0321/1070411.html
[2]https://www.elegislation.gov.hk/hk/a305!en?INDEX_CS=N&xpid=ID_1710750898615_002
[3] https://asiatimes.com/2021/08/hk-banks-sweat-fast-execution-of-anti-sanctions-law/#
[4] https://www.163.com/dy/article/JR167B0Q0523C0OR.html
[5]https://www.facebook.com/ronnytong.hk/posts/pfbid02sZpf6gZiNK4tUadjQPdMc6XKC2pwtpDUybBYdWiwK24wPXxvhoBKLQtcmEq6zEL9l
[6] https://www1.hkexnews.hk/listedco/listconews/sehk/2025/0320/2025032000461.pdf
[7] https://news.qq.com/rain/a/20250319A09IP000
[8] https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1301450
[9] https://baijiahao.baidu.com/s?id=1826836875196073691&wfr=spider&for=pc