เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - เจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์วันศุกร์ (21 มี.ค.) ส่งสัญญาณแรงขับรถถังชาเลนเจอร์ 2 ระหว่างการบุกเยือนหน่วยกำลังทหารอังกฤษในเอสโตเนียใกล้รัสเซียท่ามกลางยุโรปเดินหน้าเตรียมความพร้อม ฝรั่งเศสประกาศแผนใหญ่เตรียมแจกคู่มือฉุกเฉินรอดชีวิตสงครามโลกครั้งที่ 3 ด้านเครมลินแถลงวันอาทิตย์ (23 มี.ค.) โวประธานาธิบดีปูตินคุยประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ต่ำกว่า 2 ครั้งมากกว่าที่เปิดเผยต่อสาธารณะ
บีบีซีของอังกฤษรายงานวันศุกร์ (21 มี.ค.) ว่าเจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์ทรงเสด็จมาเอสโตเนียเพื่อให้กำลังพระทัยแก่กองกำลังทหารอังกฤษในเอสโตเนียที่เป็นการส่งกำลังประจำการครั้งใหญ่ที่สุดในต่างแดนเพื่อปกป้องประเทศทะเลบอลติกจากภัยคุกคามรัสเซียที่มีพรมแดนติดทางตะวันออกท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองโลกที่ร้อนระอุนับตั้งแต่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนเมื่อ 3 ปีก่อน และประธานาธิบดีอเมริกันคนใหม่ปลีกตัวออกจากยุโรป
วันศุกร์ (21) ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวจัดในค่ายฝึกที่เต็มไปด้วยโคลนตม เจ้าชายวิลเลียมในเครื่องแบบทหารลายพรางทรงทอดพระเนตรทหารและยุทโธปกรณ์ป้องกันแนวรบด้านตะวันออกของนาโต
พระองค์ที่ก่อนหน้าเคยอยู่ในกองทัพอังกฤษก่อนที่จะทรงลาออกจากกองทัพ แต่ทว่าในวันศุกร์ (21) เจ้าชายทรงกลับมาขับรถถังชาลเลนเจอร์ 3 และยานยนต์หุ้มเกราะประจัญบานส่งสัญญาณแรงถึงพันธะสัญญาของอังกฤษที่จะสู้กับความก้าวร้าวใดๆ ของรัสเซีย
ระหว่างการเสด็จเยือนเอสโตเนีย 2 วัน เจ้าชายวิลเลียมเสด็จเยือนกองกำลังทหารอังกฤษ 900 นายในกองกำลังพันธมิตรนานาชาติ ซึ่งรวมไปถึงกองกำลังหน่วยเมอร์เชียนของอังกฤษ (Mercian regiment) ที่พระองค์ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำหน่วย
เจ้าชายวิลเลียมทรงตราอาร์มนาโตตรวจค่ายฝึกทหาร “ทาปา แคมป์” (Tapa Camp) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการคาบริต (Operation Cabrit) ในการปกป้องภูมิภาคบอลติก
ในการเสด็จพระองค์ยังทรงพบทหารเอสโตเนียและทหารฝรั่งเศสในค่ายแห่งนี้
เกิดขึ้นท่ามกลางความวิตกที่ยุโรปอาจจะเกิดสงครามที่มีสิทธิเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศที่ 3 ตามหลังสวีเดน และฟินแลนด์ ที่ออกคู่มือเพื่อการรอดชีวิตแจกให้พลเมืองเตรียมตัวหากเกิดวิกฤตร้ายแรงในดินแดนฝรั่งเศส รวมไปถึงสงครามที่เกิดจากการรุกราน
CNN ของสหรัฯ รายงานวันพุธ (19) ว่า โฆษกนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสฟรองซัวร์ เบย์รู (François Bayrou) ให้สัมภาษณ์กับ CNN ของสหรัฐฯ วันพุธ (19) ว่า
“คู่มือการรอดชีวิตมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นพลเมืองแดนน้ำหอมให้เกิดการพัฒนาการยืดหยุ่นของพวกเขาในการเผชิญหน้าต่อวิกฤตที่แตกต่างกันออกไป”
และเสริมต่อว่า “นี่รวมไปถึงภัยพิบัติตามธรรมชาติ เหตุทางเทคโนโลยีและไซเบอร์ วิกฤตทางสาธารณสุข เช่น โรคระบาดโควิด-19 และวิกฤตความมั่นคง เช่น การโจมตีจากผู้ก่อการร้ายและสงคราม”
ทั้งนี้ หากว่านายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสเบย์รูอนุมัติคาดว่าคู่มือรอดชีวิตจำนวน 20 หน้าจะถูกแจกจ่ายไปตามบ้านเรือนได้ทันก่อนหน้าร้อนที่จะถึง
ภายในคู่มือรอดชีวิตฉุกเฉินรวมถึงคำแนะนำการเตรียมตัวหากเกิดสงครามที่อาจเข้าสู่ฝรั่งเศสท่ามกลางภัยคุกคามทางฝั่งตะวันออกของนาโต และการถอยห่างจากยุโรปของสหรัฐฯ
การเตรียมตัวยังให้คำแนะนำพลเรือนฝรั่งเศสเตรียมพร้อมรับกับวิกฤตอื่น เป็นต้นว่าทั้ง วิกฤตทางการสื่อสารที่ถูกตัดขาดอย่างฉับพลัน และการตัดกระแสไฟฟ้ารวมไปถึงวิกฤตสภาพอากาศสุดขั้ว
เกิดขึ้นท่ามกลางรัสเซียเร่งสุมไฟ เครมลินออกแถลงวันอาทิตย์ (23) อ้างประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน หารือกับผู้นำอเมริกัน โดนัลด์ ทรัมป์ อาจเคยหารือกันไม่ต่ำกว่า 2 ครั้งมากกว่าการติดต่อทางโทรศัพท์ที่ได้ประกาศเมื่อไม่นานมานี้ต่อสาธารณะ
เป็นแถลงการณ์ของเครมลินที่ออกมาผ่านทางวิดีโอคลิปและเผยแพร่ทางสาธารณะทางสถานีรัฐบาลรัสเซียในวันอาทิตย์ (23 มี.ค.)
รอยเตอร์รายงานว่า ที่ผ่านมาทรัมป์และปูตินติดต่อหารือทางโทรศัพท์ 2 ครั้งในวันที่ 12 ก.พ.และวันที่ 18 มี.ค.ท่ามกลางการคาดคะเนว่าอาจมีการติดต่อมากกว่านั้น รวมไปถึงการติดต่อระหว่างทรัมป์และปูตินก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ
ดมิตรี เพรสคอฟ แถลงว่า “ฟังนะ พวกเราได้แจ้งต่อพวกคุณเกี่ยวกับการสนทนาที่พวกเรารู้ แต่พวกเราไม่สามารถตัดสิ่งใดอื่นๆ ออกไปได้”
การติดต่อสื่อสารระหว่างทรัมป์และปูตินทำให้บรรดาผู้นำยุโรปชาติต่างพากันนั่งไม่ติดด้วยความวิตกว่า สหรัฐฯ จะหันหลังให้ยุโรปในความหวังที่จะได้ข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย รวมไปถึงในตะวันออกกลางและจีน
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้เคยเปิดเผยแก่หนังสือพิมพ์วอชิงตันเอ็กแซมมิเนอร์ว่า เขาได้หารือกับผู้นำรัสเซียมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว
ทั้งนี้ นักข่าวอเมริกันชื่อดังประจำหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ บ็อบ วูดเวิร์ด (Bob Woodward) ในหนังสือชื่อ “สงคราม” (War) ในปีที่แล้วเปิดเผยว่า ทรัมป์ได้มีการสนทนาตรงมากถึง 7 ครั้งกับปูตินหลังเข้าออกจากทำเนียบขาวในปี 2021
รอยเตอร์ หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ และแอกซิออสต่างพากันรายงานว่าทรัมป์และปูตินมีการสนทนาเกิดขึ้นเมื่อต้นพฤศจิกายนซึ่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกิดขึ้นในวันที่ 8 พ.ย.แต่ทว่าฝ่ายเครมลินปฏิเสธ