พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กลายเป็นบุคคลในรัฐบาลรายล่าสุด ซึ่งรวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พวกผู้พิพากษาศาลกลางในวันเสาร์ (22 มี.ค.) โดยเขาเย้ยหยันศาลผู้พากษาที่ขัดขวางคำสั่งแบนทหารข้ามเพศในกองทัพ บ่งชี้ว่าใช้อำนาจอย่างเลยเถิด
อนา เรเยส ผู้พิพากษาศาลแขวงในวอชิงตัน ตัดสินว่าคำสั่งบริหารของทรัมป์เมื่อวันที่ 27 มกราคม หนึ่งในหลายๆ ประเด็นที่ประธานาธิบดีรีพับลิกัน เล็งเป้าเล่นงานสิทธิทางกฎหมายสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศอเมริกัน ดูเหมือนว่าจะละเมิดรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่รับประกันการได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย
เฮกเซธ โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ถากถางเรียกผู้พิพากษาว่า "ผู้บัญชาการเรเยส" และชี้ว่าเธอใช้อำนาจโดยมิชอบ ด้วยการตัดสินในเรื่องเกี่ยวการทำศึกสงคราม
"เนื่องด้วยเวลานี้ ผู้พิพากษาเรเยส เป็นนักวางแผนลำดับต้นๆ ของกองทัพ เธอ/พวกเขาสามารถแจ้งไปยังฟอร์ท เบนนิ่ง ตอน 6 โมงเช้า สั่งการหน่วยจู่โจมกองทัพบกของเรา เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติการจู่โจมเป้าหมายที่ให้ค่าสูง" เฮกเซธเขียน "หลังจากนั้นผู้บัญชาการเฮกเซธ สามารถส่งคนไปยังฟอร์ท แบรกก์ เพื่อฝึกฝนหน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์ ในด้านการสงครามต่อต้านการก่อความไม่สงบ"
ผู้พิพากษาเรเยส ไดรับการแต่งตั้งจากอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต
มีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างรัฐบาลทรัมป์กับคณะตุลาการกลาง ผู้ซึ่งออกคำสั่งขัดขวางความเคลื่อนไหวบางอย่างของเขานับตั้งแต่กลับสู้เก้าอี้ประธานาธิบดีในเดือนมกราคม ขณะเดียวกัน ก็มีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยของคณะผู้พิพากษา หลังจากทั้ง ทรัมป์ มหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ แพม บอนดิ รัฐมนตรีกลาโหมและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ในรัฐบาล ออกมาโจมตีพวกผู้พิพากษาในไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ยกตัวอย่างเช่น ทรัมป์ในวันอังคาร (18 มี.ค.) เรียกร้องให้ถอดถอนผู้พิพากษาที่เป็นประธานพิจารณาการคัดค้านทางกฎหมายเกี่ยวกับการเนรเทศผู้อพยพ โดยเรียกผู้พิพากษารายนี้ว่าคนบ้าซ้ายจัด ผู้ก่อปัญหาและผู้ปลุกปั่น ความเคลื่อนไหวที่กระตุ้นให้ประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ ออกถ้อยแถลงตำหนิประธานาธิบดีอย่างที่ไม่ค่อยพบเห็นนัก
เฮกเซธ ทหารผ่านศึกและอดีตพิธีกรรายการโทรทัศน์ทางฟ็อกซ์นิวส์ ให้ความสำคัญลำดับต้นๆ กับประเด็นสงครามทางวัฒนธรรมต่างๆ อย่างเช่นการแบนทหารข้ามเพศและการละทิ้งแนวคิดความหลากหลายความเท่าเทียม และการรวมกันเป็นหนึ่ง (DEI) ในกองทัพ
หลังจาก เฮกเซธ เข้ากุมบังเหียนเพนตากอน ทรัมป์ยังปลดนายพลซี.คิว.บราวน์ ประธานเสนาธิการทหารร่วม ซึ่งเป็นคนผิวสี และพลเรือเอกลิซา ฟรานเชตติ ผู้หญิงคนแรกที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพเรือ ก่อนหน้านั้น เฮกเซธ ตั้งคำถามว่า บราวน์ ได้ตำแหน่งนี้มาเพียงเพราะเขาเป็นคนผิวสีใช่หรือไม่
ในขณะที่ ทรัมป์ และ เฮกเซธ มีอำนาจอย่างกว้างขวางในการปลดเจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐฯ แต่ความพยายามแบนบุคคลข้ามเพศรับใช้กองทัพ ได้โหมกระพือคดีฟ้องร้องต่างๆ
กองทัพสหรัฐฯ ระบุในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ บอกว่าจะไม่อนุญาตให้คนข้ามเพศเข้าร่วมกองทัพอีกต่อไป และจะหยุดสนับสนุนหรืออำนวยความสะดวกขั้นตอนทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการแปลงเพศของกำลังพล และเมื่อเดือนที่แล้ว กองทัพเปิดเผยว่าพวกเขาได้เริ่มไล่กำลังพลคนข้ามเพศออกแล้ว
ฝ่ายโจทก์ในคดีที่ยื่นต่อเรเยส อ้างว่าคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ชี้ถึงคำพิพากษาของศาลสูงสุดในปี 2020 ที่พบว่าการเลือกปฏิบัติกับคนข้ามเพศของนายจ้าง เป็นรูปแบบหนึ่งของการเลือกปฏิบัติทางเพศที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทนายความของรัฐบาลแก้ต่างในศาลว่า กองทัพมีสิทธิห้ามบุคคลที่มีสภาวะบางอย่างที่ไม่เหมาะกับการรับราชการทหาร เข้าร่วมกองทัพ ในนั้นรวมถึงโรคไบโพลาร์ (อารมณ์ 2 ขั้ว) และโรคผิดปกติเกี่ยวกับการกิน
(ที่มา : รอยเตอร์)