ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายไปแล้ว 37,660 ราย ในระหว่างเดือนแรกของการดำรงตำแหน่ง อ้างอิงข้อมูลของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน อย่างไรก็ตาม มันถือว่าต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยรายเดือนราว 57,000 คน ในขวบปีสุดท้ายของรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน
กระนั้นพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลทรัมป์และพวกผู้เชี่ยวชาญ เชื่อว่าตัวเลขการเนรเทศมีสิทธิจะเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า หลังจาก ทรัมป์ เปิดลู่ทางใหม่ในการยกระดับการจับกุมและขับออกนอกประเทศ
ทริเซีย แมคลาฟลิน โฆษกของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ระบุว่าจำนวนการเนรเทศในยุคสมัยของไบเดน ดูเหมือนเป็นตัวเลขที่สูงแบบปลอมๆ สืบเนื่องจากมีพวกลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายมากกว่า
ทรัมป์ สัญญาระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ว่าจะเนรเทศพวกคนเข้าเมืองผิดกฎหมายหลายล้านคนในสหรัฐฯ โดยคุยว่ามันจะเป็นปฏิบัติการเนรเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขในเบื้องต้นบ่งชี้ว่า ทรัมป์ กำลังประสบปัญหาในการทำให้ได้เทียบเท่ากับอัตราการเนรเทศที่สูงกว่าในช่วงขวบปีสุดท้ายของรัฐบาลไบเดน ครั้งที่พวกผู้อพยพจำนวนมากถูกจับได้ขณะข้ามชายแดนผิดกฎหมาย ซึ่งเปิดทางให้เนรเทศพวกเขาได้ง่ายกว่า
คาเลบ วิเตลโล รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเเละศุลกากรแห่งสหรัฐฯ ถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันศุกร์ (21 มี.ค.) สืบเนื่องจากทำไม่ได้ตามความคาดหมาย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลทรัมป์รายหนึ่งและแหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นนี้ 2 ราย
แหล่งข่าวบอกว่าความพยายามเนรเทศอาจเริ่มเห็นผลในอีกหลายเดือน ภายใต้ความช่วยเหลือจากข้อตกลงกับกัวเตมาลา เอลซัลวาดอร์ ปานามา และคอสตาริกา ในการอ้าแขนรับผู้ถูกเนรเทศจากประเทศอื่นๆ
กองทัพสหรัฐฯ เข้าช่วยเหลือด้วยการส่งเครื่องบินทหารนับสิบเที่ยวบิน ลำเลียงพวกผู้ถูกเนรเทศ ไปยังกัวเตมาลา ฮอนดูรัส ปานามา เอกวาดอร์ เปรู และอินเดีย นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ ยังส่งพวกผู้อพยพชาวเวเนซุเอลาบางส่วนไปฐานทัพเรือสหรัฐฯ ในกวนตานาโม ในขณะที่ ทรัมป์ เคยเผยในช่วงปลายเดือนมกราคม ว่ารัฐบาลของเขากำลังเตรียมการเพื่อคุมขังพวกผู้อพยพสูงสุด 30,000 คน ในฐานทัพเรือแห่งนี้ แม้มีเสียงโวยวายมาจากกลุ่มสิทธิพลเมืองทั้งหลาย
ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าทำให้สามารถจับกุมและเนรเทศพวกคนเข้าเมืองผิดกฎหมายที่ไม่มีประวัติทางอาญาได้ง่ายกว่าเดิมและควบคุมตัวเพิ่มเติม พวกที่อยู่ภายใต้คำสั่งเนรเทศขั้นสุดท้าย
ในช่วง 3 สัปดาห์แรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร ได้จับกุมผู้คนไปราว 14,000 ราย เทียบเท่ากับจำนวน 667 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากค่าเฉลี่ยของปีที่แล้ว แต่ด้วยอัตราดังกล่าว การจับกุมโดยเฉพาะรายปีน่าจะอยู่แค่หลัก 250,000 คน ไม่ใช่หลายล้านคนตามคำอวดอ้าง
การจับกุมของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร เคยแตะระดับราว 800-1,200 คน ในช่วงสัปดาห์แรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง แต่จากนั้นก็ลดระดับลง สืบเนื่องจากศูนย์กักกันต่างๆ อัดแน่นแล้ว
ทั้งนี้ ข้อมูลที่เผยแพร่ออกมาในวันเสาร์ (22 มี.ค.) สอดคล้องกับรายงานจากสำนักข่าวเอเอฟพีที่ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังดำเนินยุทธการเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และควบคุมการอพยพ โดยเฉพาะจากประเทศในละตินอเมริกา
เอเอฟพีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมยกเลิกสถานะทางกฎหมายของผู้อพยพหลายแสนคน โดยจะมีผลบังคับใช้กับชาวคิวบา เฮติ นิการากัว และเวเนซุเอลาราว 532,000 คน ที่เดินทางมาสหรัฐฯ ภายใต้โครงการที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนเปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคม 2022 และขยายโครงการในเดือนมกราคมของปีถัดมา
ผู้อพยพเหล่านั้นจะสูญเสียความคุ้มครองทางกฎหมายภายใน 30 วันหลังจากคำสั่งของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิถูกเผยแพร่ในวารสารอย่างเป็นทางการของรัฐบาลกลางซึ่งกำหนดไว้ในวันอังคารหน้า
นั่นหมายความว่าผู้อพยพที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการดังกล่าวของโจ ไบเดน ต้องออกจากสหรัฐฯ ภายในวันที่ 24 เมษายน เว้นแต่ว่าพวกเขาจะได้รับสถานะการย้ายถิ่นฐานอื่น ที่อนุญาตให้พวกเขาอยู่ในอเมริกาได้
ทั้งนี้ โครงการ Processes for Cubans, Haitians, Nicaraguans, and Venezuelans (CHNV) ซึ่งประกาศเมื่อเดือนมกราคม 2023 อนุญาตให้ผู้อพยพจาก 4 ประเทศซึ่งมีประวัติสิทธิมนุษยชนเลวร้าย สามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้เป็นเวลา 2 ปี ด้วยจำนวนสูงสุด 30,000 คนต่อเดือน
โจ ไบเดนยกย่องแผนดังกล่าวว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีมนุษยธรรมเพื่อบรรเทาแรงกดดันที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกซึ่งประสบปัญหาเรื้อรังของผู้คนที่ต้องการย้ายถิ่นฐาน
แต่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้เน้นย้ำเมื่อวันศุกร์ (21 มี.ค.) ว่าโครงการดังกล่าวเป็นเพียงโครงการชั่วคราว
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเอฟพี)