เอเอฟพี/รอยเตอร์ - นักเคลื่อนไหวประณามแผนรัฐบาลประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ปราโบโว ซูเบียนโต แก้ไขกฎหมายทหารเพื่อปูทางให้กองทัพอินโดนีเซียสามารถนั่งในตำแหน่งพลเรือนของรัฐบาลได้ตั้งแต่ศาลสูงสุด สำนักงานอัยการสูงสุด จากของเดิม 10 หน่วยงานเพิ่มเป็น 16 หน่วยงานทั้งหมด
เอเอฟพีรายงานวันอังคาร (18 มี.ค.) ว่า นักเคลื่อนไหวออกมาคัดค้านท่ามกลางการจับตาจากต่างประเทศรวม แอมเนสตี สากลหลังประธานาธิบดี อินโดนีเซีย ปราโบโว ซูเบียนโต ต้องการให้กองทัพแดนอิเหนาเข้ามาทำงานในตำแหน่งพลเรือนเพิ่ม
เป็นความเคลื่อนไหวที่ถูกมองว่าจะทำให้อินโดนีเซียย้อนถอยกลับไปในยุคเผด็จการซูฮาร์โต
รอยเตอร์รายงาน ว่า อาริฟ เมาลานา (Arif Maulana) ผู้ช่วยประธานกลุ่มสิทธิ สถาบันช่วยเหลือทางกฎหมาย (Legal Aid Institute) กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายทหารจะทำให้อินโดนีเซียย้อนถอยหลังกลับไป 30 ปีในครั้งที่ซูฮาร์โตใช้กองทัพเข้าควบคุมมีอิทธิพลในกิจการด้านพลเรือนและบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามในแดนอิเหนาที่เป็นประเทศมุสลิมใหญ่ที่สุดในโลก
พร้อมกับชี้ว่า การแก้กฎหมายจะเป็นการคุกคามต่อชาวอินโดนีเซียและอนาคตของประชาธิปไตยแดนอิเหนา
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับแก้ไขจะถูกโหวตในรัฐสภาวันพฤหัสบดี (20) ที่ซึ่งพรรคของเขาและพรรคร่วมรัฐบาลครองเสียงข้างมากหลังจากการแก้ไขได้รับไฟเขียวจากคณะกรรมาธิการชุดสำคัญแล้ว
เอเอฟพีรายงานว่า ในปัจจุบันเจ้าหน้าที่กองทัพสามารถดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐได้ถึง 10 แห่ง รวมกระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย
แต่ภายใต้การแก้ไข ทหารอินโดนีเซียจะสามารถเข้าดำรงตำแหน่งในถึง 16 แห่งเพิ่มจากของเดิม เป็นต้นว่า สำนักงานภัยพิบัติแห่งชาติ อ้างอิงจากร่างที่เอเอฟพีได้เห็น
และที่น่าวิตกและสำคัญเพราะในร่างพบว่า หากแก้ไขผ่าน กองทัพจะสามารถเข้ามานั่งใน ‘ศาลสูงสุดอินโดนีเซีย สำนักอัยการศาลสูงสุด’
ทั้งนี้ อาริฟแสดงความเห็นว่า การมีทหารอยู่ในประจำการในสำนักงานอัยการสูงสุดจะกระทบต่อความโปร่งใสทางกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวพันกับทหาร
พร้อมเสริมต่อว่า อาจเป็นความเสี่ยงของกองทัพในการใช้ความรุนแรงในบทบาทพลเรือน
ด้าน อุสมาน ฮามิด (Usman Hamid) แอมเนสตีสากลประจำอินโดนีเซีย แถลงว่า การปล่อยให้กองทัพเข้ามาเกี่ยวข้องในกิจการด้านพลเรือนมากขึ้นอาจนำมาสู่การใช้อำนาจโดยมิชอบ การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการไม่ต้องรับโทษ
รอยเตอร์รายงานว่า บูดี ดจิวานโดโน (Budi Djiwandono) หลานชายประธานาธิบดีปราโบโว และนั่งตำแหน่งผู้ช่วยประธานคณะกรรมาธิการด้านกองทัพ การป้องกันประเทศ และนโยบายต่างประเทศอินโดนีเซียประจำสภาล่าง ได้เปิดเผยพอให้ใจชื้นว่า จะไม่มีทหารที่ยังอยู่ในราชการนั่งในบริษัทเอกชนที่รัฐเป็นเจ้าของเด็ดขาด เพื่อป้องกันความวิตกว่าทหารเหล่านั้นจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้านทางธุรกิจ