บรรดาพันธมิตรบางส่วนของสหรัฐฯ เริ่มมองเครื่องบินขับไล่ล่องหน F-35 ว่าอาจเป็นความอ่อนแอแทนที่จะเป็นอาวุธล้ำสมัยที่ช่วยเสริมแสนยานุภาพในการทำศึกสงคราม ตามหลังท่าทีตีตัวออกห่างจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะที่มีเสียงลือว่าอเมริกาสามารถตัดขาดการใช้งานเครื่องบินล้ำสมัยรุ่นนี้จากระยะไกล
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แคนาดาและโปรตุเกส แสดงถึงความตั้งใจสำรวจหาทางเลือกอื่นๆ นอกเหนือจากเครื่องบินขับไล่รุ่นนี้ที่ผลิตโดยล็อคฮีด มาร์ติน หลังประธานาธิบดีทรัมป์ ก่อความเคลือบแคลงสงสัยต่อคำมั่นสัญญาของสหรัฐฯ ที่มีต่อพันธมิตรนาโต
ในวันศุกร์ (14 มี.ค.) บิล แบลร์ รัฐมนตรีกลาโหมแคนาดา บอกว่าประเทศของเขากำลังกระตือรือร้นมองหาเครื่องบินขับไล่อื่นๆ ท่ามกลางแรงสนับสนุนทางการเมืองที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในการฉีกสัญญามูลค่า 13,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับซื้อเครื่องบิน F-35 จำนวน 88 ลำจากสหรัฐฯ ในข้อตกลงที่ลงนามกันในปี 2023
แบลร์ บอกว่าแคนาดามีภาระผูกผันทางการเงินสำหรับเครื่องบิน F-35 ชุดแรกจำนวน 16 ลำ ที่มีกำหนดส่งมอบในช่วงต้นปีหน้า แต่เขาบ่งชี้ว่าหลังจากรับมอบ F-35 ล็อตดังกล่าวแล้ว แคนาดาอาจหันไปหาเครื่องบินยุโรป เพื่อทดแทนฝูงบินขับไล่เก่าเก็บของพวกเขา
โฆษกกระทรงกลาโหมแคนาดา ยืนยันกับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ว่าความเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้เป็นการยกเลิกข้อตกลง "แต่แคนาดาจำเป็นต้องแน่ใจว่าสัญญาในรูปแบบปัจจุบันจะให้ประโยชน์สูงสุดกับชาวแคนาดาและกองทัพอากาศแคนาดา"
การทบทวนข้อตกลง F-35 มีขึ้นหลังจาก ทรัมป์ กำหนดรีดภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา และประกาศดึงประเทศแห่งนี้เข้าเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ ซึ่งมันโหมกระพือความเดือดดาลแก่ชาวแคนาดาและนำมาซึ่งการคว่ำบาตรสินค้าของอเมริกา
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ แสดงความเคลือบแคลงต่อนาโตมาช้านาน และคว่ำครวญว่าชาติสมาชิกไม่ใช้จ่ายเพียงพอในด้านการป้องกันตนเอง ทั้งนี้แม้พันธมิตรยกระดับแผนการใช้จ่ายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่ามันไม่มากพอและขู่ไม่ช่วยเหลือพวกเขาในกรณีที่ถูกโจมตี
นอกเหนือจากนี้แล้ว ทรัมป์ ยังขู่ทำสงครามการค้ากับยุโรป และก่อความกังวลแก่พันธมิตรด้วยการสานสัมพันธ์กับรัสเซียและระงับเงินช่วยเหลือด้านการทหารที่มอบแก่ยูเครน กระตุ้นให้อียูเริ่มดำเนินการยกระดับแสนยานุภาพทางทหารครั้งใหญ่ ในการเตรียมพร้อมรับมือกับโลกที่ไม่มีโล่ป้องกันด้านความมั่นคงที่น่าเชื่อถือจากสหรัฐฯ อีกต่อไปแล้ว
สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ ดังกล่าว ได้ก่อแรงสั่นสะเทือนแก่พันธมิตรข้ามแอตแลนติก โดยมันตอกย้ำให้เห็นจากศึกวิวาทะในห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวเมื่อเร็วๆ นี้ ระหว่าง ทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน และปัจจัยนี้เองที่กระตุ้นให้โปรตุเกส อีกชาติพันธมิตรนาโต เริ่มชั่งใจเกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่เช่นกัน
แม้กองทัพอากาศโปรตุเกส แนะนำให้ซื้อเครื่องบิน F-35 แต่ทาง นูโน เมโล รัฐมนตรีกลาโหมให้สัมภาษณ์กับสื่อแห่งหนึ่ง บอกว่าประเทศของเขาไม่อาจเพิกเฉยต่อสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน "ท่าทีของสหรัฐฯ ในบริบทของนาโตเมื่อเร็วๆ นี้ และมิติทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ทำให้เราต้องคิดทบทวนว่าอะไรคือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะว่าความเป็นพันธมิตรที่คาดเดาได้หรือไม่ของเรา จำเป็นต้องถูกนำมาคิดคำนวณด้วย"
เขาบอกว่า "พันธมิตรแห่งนี้ของเราอาจจำกัดการใช้งาน เช่นเดียวกับการสนับสนุนด้านการซ่อมบำรุงและจำกัดการเข้าถึงชิ้นส่วนต่างๆ ที่จำเป็น เพื่อรับประกันว่าเครื่องบินจะสามารถปฏิบัติการได้ในทุกรูปแบบของทุกสถานการณ์ จำเป็นต้องพิจารณาทางเลือกหลาบทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการผลิตโดยยุโรป"
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีกลาโหมรายนี้ระบุในเวลาต่อมา ว่าโปรตุเกสไม่ตัดความเป็นไปได้ของการซื้อ F-35
ความลังเลของกองทัพต่างชาติในการซื้อเครื่องบิน F-35 มีขึ้นต่อเนื่องจากความกังวลว่ารัฐบาลทรัมป์ อาจกำลังตัดลบการใช้จ่ายด้านกลาโหมของสหรัฐฯ ทั้งนี้ในฐานะโครงการให้ได้มาซึ่งครอบครองที่แพงที่สุดของเพนตากอน เครื่องบิน F-35 ถูกห้อมล้อมด้วยปัญหาต่างๆ ทั้งต้นทุนบานปลาย ล่าช้าและประเด็นความน่าเชื่อถือ และเคยถูก อีลอน มัสก์ ดูหมิ่นว่าล้าหลังและมองว่าโดรนเป็นอนาคตของยุทโธปกรณ์ทางทหารมากกว่า
ล็อคฮีด มาร์ติน ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวแคนาดากำลังพิจารณาทบทวนแผนซื้อ F-35 แต่ในถ้อยแถลงอีกฉบับที่ส่งถึงสำนักข่าวซีบีซี ทางบริษัทหาทางปัดเป่าข่าวลือที่พวกเขาบอกว่าเป็นข้อมูลบิดเบือนบนสื่อสังคมออนไลน์ ที่อ้างว่า F-35 มี "kill switch" ที่เปิดทางให้รัฐบาลสหรัฐฯ ตัดขาดการใช้งานเครื่องบินรุ่นนี้
(ที่มา : ฟอร์จูน)