(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
China ‘mass produces’ semiconductor-related papers
by Yong Jian
08/03/2025
รัฐมนตรีต่างประเทศจีนวิพากษ์วิจารณ์มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯอย่างรุนแรง และบอกว่าจีนจะแลกเปลี่ยนแบ่งปันเทคโนโลยีต่างๆ กับพวกกลุ่มประเทศโลกใต้
จีนกำลังกลายเป็นประเทศอันดับหนึ่งของโลกในด้านการตีพิมพ์เผยแพร่เอกสารรายงานการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีจำนวนสูงกว่าพวกประเทศซึ่งตามหลังมา 3 อันดับรวมกันเสียอีก ทั้งนี้ตามรายงานที่เผยแพร่โดย หน่วยสังเกตการณ์เทคโนโลยีเกิดใหม่ (Emerging Technology Observatory หรือ ETO) ที่สังกัดอยู่กับ ศูนย์เพื่อความมั่นคงและเทคโนโลยีเกิดใหม่ (Center for Security and Emerging Technology) ณ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ (Georgetown University) ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ
รายงานของ ETO แจกแจงว่า [1] ตั้งแต่ปี 2018 ถึงปี 2023 พวกนักวิชาการชาวจีนตีพิมพ์เผยแพร่บทความทางวิชาการเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์รวม 160,852 เรื่อง นำโด่งทิ้งห่างสหรัฐฯ (71,688 เรื่อง), อินเดีย (39,709 เรื่อง), ญี่ปุ่น (30,401 เรื่อง), และเกาหลีใต้ (28,345 เรื่อง) ทีนี้ถ้าหากดูกันที่ตัวเลขอัตราส่วนเฉลี่ยที่บทความเหล่านี้ได้ได้รับการอ้างอิง ของสหรัฐฯจะอยู่ที่ 17.6 ต่อเรื่อง ขณะที่จีนอยู่ที่ 14.8 ต่อเรื่อง
ทางด้านองค์การวิจัยที่มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่มากที่สุด ปรากฏว่าระดับท็อป 10 ทั้งหมดล้วนเป็นพวกสถาบันซึ่งตั้งอยู่ในประเทศจีน ยกเว้นแห่งเดียว คือ ศูนย์กลางแห่งชาติเพื่อการวิจัยวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศส (Centre National de la Recherche Scientifique) ที่ติดอันดับ 3
นับจากปี 2018 ถึงปี 2023 บัณฑิตยสภาทางวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน (Chinese Academy of Sciences หรือ CAS) ตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับชิปจำนวน 14,387 เรื่อง, ติดตามมาด้วยมหาวิทยาลัยบัณฑิตสภาทางวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน (University of Chinese Academy of Sciences) (7,849 เรื่อง), ศูนย์กลางแห่งชาติเพื่อการวิจัยวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศส (5,446 เรื่อง), และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอิเล็กทรอนิกแห่งประเทศจีน (University of Electronic Science and Technology of China) (5,237 เรื่อง)
อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนติดอันดับเพียงแค่ที่ 5 ของโลก ในเรื่องจำนวนงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่โดยพวกผู้ผลิตชิป
อันดับ 1 คือ ซัมซุง ของเกาหลีใต้ ตีพิมพ์เผยแพร่ 1,940 เรื่องในช่วงระหว่างปี 2018 ถึงปี 2023 รองลงมาคือ เอสทีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (STMicroelectronics) บริษัทออกแบบและรับจ้างผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของยุโรป (1,070 เรื่อง), อินเทล ของสหรัฐฯ (951 เรื่อง), ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง คอร์ป (Taiwan Semiconductor Manufacturing Corp หรือ TSMC) (611 เรื่อง), และ ไชน่า อิเล็กทรอนิก เทคโนโลยี กรุ๊ป คอร์ป (China Electronic Technology Group Corp หรือ CETC) (594 เรื่อง)
สำหรับตัวเลขอัตราส่วนเฉลี่ยที่บทความเหล่านี้ได้รับการอ้างอิง ปรากฏว่า ของอินเทลขึ้นอันดับ 1 อยู่ที่ 17.3, ติดตามมาด้วย ซัมซุง (16.8), ไอบีเอ็ม (15.4), โดยที่ CETC ได้อันดับที่ 10 เท่านั้น
เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ (South China Morning Post (SCMP) สื่อหนังสือพิมพ์และออนไลน์ในฮ่องกง ซึ่งเจ้าของในปัจจุบันคือ แจ็ก หม่า (Jack Ma) ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มอาลีบาบา เสนอข่าว [2] รายงานของ ETO นี้เอาไว้โดยใช้ชื่อเรื่องว่า “Tech war: China leads US in quantity, quality of semiconductor research, report finds.” (สงครามเทค: จีนนำหน้าสหรัฐฯในด้านปริมาณและคุณภาพของการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ รายงานการศึกษาระบุ) ทั้งนี้ข่าวของ SCMP อ้างอิงเรื่อง “คุณภาพ” จากประเด็นที่บทความของพวกนักวิจัยจีนได้รับการอ้างอิงในอัตราส่วนที่สูง
แซคารี อาร์โนลด์ (Zachary Arnold) ผู้นำนักวิเคราะห์คนหนึ่งใน ETO ได้กล่าวกับนิตยสาร “เนเจอร์” (Nature) [3] ว่า ถึงแม้การค้นพบจากการศึกษาชิ้นนี้ ไม่ได้หมายความว่าจีนในปัจจุบันกำลังเป็นผู้นำในปริมณฑลการทำชิปแล้ว แต่ “มันก็กำลังแสดงให้เราเห็นว่าสิ่งต่างๆ กำลังเดินหน้าไปทางไหน”
รายงานของ ETO กล่าวต่อไปอีกว่า ถ้าหากจีนพัฒนาผลงานวิจัยของพวกเขาให้เข้าสู่การประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์แล้ว ในไม่ช้าไม่นานสหรัฐฯก็อาจพบค้นว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะใช้มาตรการควบคุมการส่งออกมาประคับประคองความได้เปรียบในการแข่งขันของตนเอาไว้ต่อไป โดยเฉพาะในด้านการดีไซน์และการผลิตไมโครชิปที่สามารถทำงานในระดับสูงๆ
ขณะที่ เฉิน อิ๋ว์นจี (Chen Yunji) ผู้ร่วมก่อตั้งคนหนึ่งของ แคมบริคอน (Cambricon) บริษัทดีไซน์ชิปเอไอ ก็กล่าวกับ เนเจอร์ ว่า ความสามารถของจีนในการทำชิประดับไฮเอนด์ ล้าหลังความสามารถของพวกเขาในการออกแบบชิประดับนั้น ส่วนหนึ่งก็สืบเนื่องจากมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่ง ยังคงมีความสงสัยข้องใจเกี่ยวกับคุณภาพของผลงานการศึกษาวิจัยทางวิชาการในจีนบางเรื่องบางส่วน สืบเนื่องจากกิจกรรมใช้กลโกงที่เรียกกันว่า “โรงงานผลิตกระดาษ” (paper mills) ซึ่งหมายถึงพวกธุรกิจที่คอยผลิตต้นฉบับการวิจัยที่โกหกหลอกลวงหรือมีคุณภาพต่ำ แล้วบอกขายฐานะการเป็นผู้เขียนบทความดังกล่าวแก่ผู้ที่ต้องการ
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคมปี 2024 นี้เอง ศาลประชาชนสูงสุดของจีน (China’s Supreme People’s Court) เพิ่งออกคำชี้แนะ [4] เรียกร้องให้ปราบปราม “โรงงานผลิตกระดาษ” เช่นนี้ นอกจากนั้น คำชี้แนะยังเรียกร้องพวกศาลระดับล่างๆ ลงมาให้ปราบปราม “เครือข่ายอุตสาหกรรมผลิตกระดาษ” และจัดการใช้บทลงโทษอย่างหนักแก่พวกที่กระทำการทุจริตคดโกงเรื่องผลงานวิจัย
มาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ
เมื่อปี 2019 คณะบริหารทรัมป์ได้เรียกร้องให้ เอเอสเอ็มแอล (ASML) บริษัทเนเธอร์แลนด์ที่เป็นซัปพลายเออร์เครื่องจักรอุปกรณ์ในการทำชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก หยุดการจัดส่งเครื่องจักรพิมพ์ลายลงบนแผ่นชิป ระดับ เอ็กซ์ทรีม-อัลตราไวโอเลต (extreme-ultraviolet (EUV) lithography machines) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุด ไปให้ประเทศจีน EUV นั้นสามารถทำชิปขนาด 7 นาโนเมตรได้ด้วยการพิมพ์ลายลงบนแผ่นชิปเพียงครั้งเดียว และทำชิปขนาด 2-3 นาโนเมตรได้ด้วยการพิมพ์ลายซ้ำหลายๆ ครั้ง
หลังจากนั้น เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ป (Semiconductor Manufacturing International Corp หรือ SMIC) บริษัทรับจ้างผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีน ได้พยายามหาทางทำชิปขนาด 7 นาโนเมตร โดยใช้เครื่องจักรพิมพ์ลายรุ่น ดีป อัลตราไวโอเลต (deep-ultraviolet หรือ DUV) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรุ่นเก่ากว่า แต่ใช้เทคนิคการพิมพ์ลายซ้ำลงไปหลายๆ ครั้ง ปรากฏว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการผลิตชิป คิริน 9000เอส (Kirin 9000s) ให้แก่ หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ซึ่งได้นำเอาไปเป็นตัวให้พลังในเครื่องโทรศัพท์สมาร์ตโฟนรุ่น เมต60 (Mate60) ของตน โดยมีการเปิดตัวในเดือนกันยายน 2023
ครั้นแล้วตั้งแต่เริ่มต้นปี 2024 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้หยุด [5] การออกใบอนุญาตให้แก่ ASML ในการส่งออกเครื่องจักรพิมพ์ลายแบบ NXT:2000i ที่ใช้เทคโนโลยี DUV แต่เป็นระดับก้าวหน้า ตลอดจนระบบ DUV immersion systems ซึ่งใช้ด้วยกัน ไปยังประเทศจีนเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
อย่างไรก็ตาม หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งสำคัญมากในพรรค โดยเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย กล่าว [6] ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันศุกร์ (7 มี.ค.) ที่ผ่านมาว่า “ประเทศจีนนั้นสามารถสร้างนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขึ้นมาได้แบบเหนือจินตนาการของผู้คน และไม่ใช่ทำได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นด้วย”
“การเดินทางเช่นนี้ไม่เคยดำเนินไปอย่างราบรื่นเลย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีด้านขีปนาวุธ, วิทยาการด้านอวกาศ, หรือการผลิตชิปก็ตามที การกดขี่บีฑาจากภายนอกอย่างไร้เหตุผลนั้นไม่เคยหยุดยั้งลงเลย ทว่าที่ใดมีการสกัดกั้นขัดขวาง ที่นั่นก็จะมีการทะลุทะลวงฝ่าข้ามไป ที่ใดมีการกดขี่บีฑา ที่นั่นก็จะมีนวัตกรรม” หวังกล่าวเช่นนี้ในการแถลงข่าวที่จัดขึ้นข้างเคียงการประชุมเต็มคณะของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ หรือก็คือ รัฐสภาจีน
รัฐมนตรีอาวุโสผู้นี้อ้างอิงสุภาษิตจีนโบราณที่บอกว่า “ไม่มีเทือกภูผาใดสามารถหยุดยั้งกระแสน้ำอันพลุ่งพล่านของแม่น้ำซึ่งทรงพลังได้” และสำทับว่า การขัดขวางสกัดกั้นถึงอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีน
เขากล่าวว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่สมควรถูกนำมาใช้สร้างเป็นม่านเหล็กแห่งการกีดกันขัดขวาง แต่สมควรถูกนำมาแบ่งปันให้แก่ทุกๆ คน โดยที่จีนเวลานี้ก็มีการนำเอาเทคโนโลยีของตนมาแบ่งปันกับกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) แล้ว
หวัง ย้ำว่าการใช้นโยบาย “กั้นรั้วสูงๆ ล้อมรอบสนามหญ้าเล็กๆ” (high fences and small yards ใช้มาตรการจำกัดกีดกันอย่างเข้มงวด เฉพาะในด้านการส่งออกเทคโนโลยีจำนวนน้อยที่มีศักยภาพสำคัญทางการทหาร) เพื่อป้องกันขัดขวางไม่ให้จีนได้รับเทคโนโลยีชั้นสูงของสหรัฐฯในช่วงสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั้น ไม่สามารถสยบกดขี่จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมของจีนได้ เขาบอกด้วยว่าการหย่าร้างแยกขาดจากกันและการสร้างความปั่นป่วนผันผวนให้ห่วงโซ่อุปทาน ก็รังแต่จะนำไปสู่การโดดเดี่ยวตัวเองเท่านั้น
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ผู้เริ่มต้นการครองอำนาจวาระสองของเขาในวันที่ 20 มกราคมปีนี้ ก็คิดเห็นว่า นโยบาย “กั้นรั้วสูงๆ ล้อมรอบสนามหญ้าเล็กๆ” ของไบเดนนั้นใช้ไม่ได้ผลเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คณะบริหารของเขายังคงเดินหน้าต่อไปไม่หยุดยั้งก็คือ เมื่อเร็วๆ นี้พวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวได้พบปะหารือ [7] กับทางเจ้าหน้าที่ของญี่ปุ่นและของเนเธอร์แลนด์ เพื่อเจรจาเรียกร้องให้หยุดยั้งบริษัทโตเกียว อิเล็กตรอน ของญี่ปุ่น และ เอเอสเอ็มแอล ของดัชต์ อย่าได้ไปให้บริการซ่อมแซมบำรุงรักษาพวกเครื่องจักรอุปกรณ์เกี่ยวกับเซมิคอนดักเตอร์ ในโรงงานผลิตชิปทั้งหลายของจีนอีกต่อไป
พวกเขาบอกว่า ญี่ปุ่นและเนเธอร์แลนด์สมควรเรียกร้องบริษัทของพวกเขา ให้กระทำอย่างทัดเทียมกับข้อจำกัดต่างๆ ที่สหรัฐฯกำลังบังคับใช้เอากับประดาบริษัทของสหรัฐฯเอง ไม่ว่าจะเป็น แลม รีเสิร์ช คอร์ป (Lam Research Corp), เคแอลเอ คอร์ป (KLA Corp), หรือ แอปพลายด์ แมทีเรียลส์ อิงค์ (Applied Materials Inc)
แซงหน้าเกาหลีใต้?
ประมาณ 10 ปีมาแล้ว ประเทศจีนมีความพยายามอย่างมากที่จะทำเครื่องพิมพ์ลายบนแผ่นชิป (lithography) ระดับก้าวหน้าของตนเองขึ้นมาให้ได้ โดยมีการทุ่มเทเงินทองหลายหมื่นล้านดอลลาร์ทีเดียวเข้าไปในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนี้ยังคงประสบความล้มเหลวไม่สามารถบรรผุผลลัพธ์ที่คาดหมายกันเอาไว้ได้ ส่วนหนึ่งสืบเนื่องจากเจอปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น โดยที่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2022 เจ้าหน้าที่ระดับท็อปของจีนและพวกผู้บริหารของกองทุนเพื่อการลงทุนระดับชาติแห่งหนึ่ง ตลอดจนบริษัทที่เกี่ยวข้องอีกหลายแห่ง รวมแล้วสิบกว่าคน ได้ถูกทางการจีนจับกุมด้วยข้อหานี้ไปแล้ว [8]
จีนเวลานี้มุ่งโฟกัสที่การดีไซน์ชิปและเทคโนโลยีแพคเกจจิ้งชิประดับก้าวหน้า ซึ่งไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเครื่องพิมพ์ลายระดับ EUV
กระนั้นก็ตามที เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันการประเมินและการวางแผนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเกาหลี (Korea Institute of Science & Technology Evaluation and Planning หรือ KISTEP) ที่เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของเกาหลีใต้ ได้เผยแพร่รายงานผลการสำรวจฉบับหนึ่งซึ่งระบุ [9] ว่า จีนสามารถแซงหน้าเกาหลีใต้ไปแล้วในปริมณฑลด้านเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์สำคัญๆ แทบทั้งหมด
การสำรวจครั้งนี้ ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์พวกผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้จำนวน 39 คน ได้ข้อสรุป [10] ว่า จีนเวลานี้นำหน้าไปแล้วในเรื่องเทคโนโลยีชิปความจำประเภท high-intensity and resistance-based memory technology โดยสามารถทำคะแนนได้ 94.1% เปรียบเทียบกับของเกาหลีใต้ซึ่งทำได้ 90.9% ทั้งนี้คะแนนสูงสุดที่สามารถทำกันได้คือ 100%
ชิปความจำ Resistance-based memory, หรือ resistive random access memory (ReRAM หรือ RRAM) เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งเหมาะสมสำหรับใช้ในการคำนวณแบบ deep learning (deep learning computations)โดยในที่สุดแล้วมันจะเข้าแทนที่ชิปความจำ flash memory แบบดั้งเดิม
KISTEP ยังค้นพบว่า เกาหลีใต้ล้าหลังจีนในด้านชิปเอไอแบบทำงานได้สูงแต่กินพลังงานต่ำ (high-performance, low-power artificial intelligence chips) โดยทำคะแนนได้ 84.1% เปรียบเทียบกับของจีนซึ่งทำได้ 88.3%
รายงานนี้ระบุว่า การผงาดขึ้นมาของเทคโนโลยีชิปจีน ถือเป็นเสียงปลุกเตือนให้เกาหลีใต้ตื่นจากความหลับใหลกันทีเดียว โดยที่เกาหลีใต้จะต้องเร่งตัวในเรื่องนวัตกรรมทางเทคโนโลยีของตนเองแล้ว ด้วยความสนับสนุนจากทั้งภาครัฐรัฐบาลและภาคเอกชน
เมื่อปีที่แล้ว หัวเว่ยต้องดิ้นรนอย่างหนัก [11] ในการทำให้มีชิป คิริน 9100 จำนวนมากเพียงพอสำหรับเครื่องสมาร์ตโฟนรุ่นเรือธงรุ่นใหม่ของบริษัท นั่นคือ เมต 70 (Mate70) สืบเนื่องจาก SMIC ยังมีสมรรถนะการผลิตอย่างจำกัดในการทำชิปขนาด 7 นาโนเมตร
คอลัมนิสต์ด้านไอทีที่ตั้งฐานอยู่ในมณฑลเหอหนานผู้หนึ่ง แสดงความคิดเห็น [12] ว่าจีนสามารถใช้เทคโนโลยีโปรเซสซิ่งชิปขนาด 14 นาโนเมตร และเทคโนโนยีแพคเกจจิ้ง3 D ของตน ในการทำชิปที่สามารถทำงานได้ระดับเทียบเคียงได้กับชิป 3 นาโนเมตร และ 5 นาโนเมตร โดยเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการใช้ชิประดับกลางๆ (mid-end chips) บางตัวมาซ้อนเข้าไปเพื่อช่วยเพิ่มอัตราความเร็วในการคำนวณ
หย่ง เจี้ยน เป็นผู้ร่วมเขียนรายงานข่าวส่งให้แก่เอเชียไทมส์ เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์ชาวจีนที่ชำนาญเป็นพิเศษในเรื่องเทคโนโลยี, เศรษฐกิจ, และการเมืองของจีน
เชิงอรรถ
[1] https://almanac.eto.tech/topics/chip-design-fabrication/
[2] https://www.scmp.com/tech/tech-war/article/3301171/tech-war-china-leads-us-quantity-quality-semiconductor-research-report-finds#:~:text=China%20is%20producing%20twice%20as,to%20a%20US%20think%20tank.
[3] https://www.nature.com/articles/d41586-025-00666-3?linkId=13248408
[4]http://gongbao.court.gov.cn/Details/95026cfd9e4ff8a036c88683e66f51.html
[5] https://asiatimes.com/2024/09/huawei-struggling-to-make-enough-chips-for-mate70/
[6]https://www.fmprc.gov.cn/wjbzhd/202503/t20250307_11570443.shtml
[7] https://nypost.com/2025/02/25/business/trump-officials-urge-allies-to-limit-chip-exports-to-china-report/
[8] https://asiatimes.com/2022/08/slow-chip-sector-reform-leaves-china-unsatisfied/
[9]https://www.koreatimes.co.kr/www/opinion/2025/02/202_392863.html
[10]https://www.kistep.re.kr/board.es?mid=a10306010000&bid=0031&list_no=94050&act=view
[11] https://asiatimes.com/2024/09/huawei-struggling-to-make-enough-chips-for-mate70/
[12]https://baijiahao.baidu.com/s?id=1825834193184078446&wfr=spider&for=pc