ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ที่ระงับแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองกับยูเครนเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้ศักยภาพด้านการป้องกันตนเองของเคียฟอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก นำมาซึ่งการสูญเสียกำลังพลและดินแดน โดยเฉพาะในส่วนที่บุกเข้าไปยึดครองในแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย นอกจากนี้ มันยังทำให้ขวัญกำลังใจดำดิ่ง ตามรายงานของนิตยสารไทม์ในวันศุกร์ (7 มี.ค.) อ้างอิงแหล่งข่าวตะวันตกและเจ้าหน้าที่ยูเครนที่ใกล้ชิดกับสถานการณ์
เจ้าหน้าที่รายหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม อ้างว่าการปราศจากข่าวกรองของสหรัฐฯ ก่อผลลัพธ์โดยตรง "ต่อการเสียชีวิตของทหารยูเครนหลายร้อยนาย" พร้อมระบุว่า "ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือขวัญกำลังใจ" เนื่องจากมันเท่ากับว่าเคียฟไม่สามารถใช้งานอาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุดบางส่วนที่ตะวันตกจัดหาให้
นิตยสารไทม์รายงานด้วยว่า การหยุดแบ่งปันข่าวกรองอย่างกะทันหันส่งผลกระทบกับฐานที่มั่นของยูเครนในแคว้นคูร์สก์ของรัสเซียเช่นกัน ดินแดนที่ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน มองในฐานะเบี้ยต่อรอง ในการเจรจาสันติภาพใดๆ กับรัสเซีย ทั้งนี้ไทม์อ้างแหล่งข่าวระบุด้วยว่า รัสเซีย ได้รุกคืบอย่างรวดเร็วในพื้นที่นี้ โดยมีเป้าหมายตัดขาดเส้นทางเสบียงของยูเครนที่ป้อนเข้าสู่แคว้นคูร์สก์
สอดคล้องกับรายงานของสื่อมวลชนยูเครนที่อ้างเว็บไซต์จับตาสถานการณ์ Deep State ระบุว่ากองกำลังรัสเซียใกล้ตัดขาดฐานที่มั่นของกองกำลังเคียฟในแคว้นคูร์สก์ จากชายแดนได้แล้ว
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์รายงานอ้างแหล่งข่าว บอกว่ากองกำลังยูเครนในแคว้นแห่งนี้ อาจต้องปิดฉากการรุกรานของตนเองในอีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ สืบเนื่องจากปัญหาขาดแคลนเสบียงและสภาพแวดล้อมในสมรภูมิรบที่เสื่อมทรามลงเรื่อยๆ ในวันเสาร์ (8 มี.ค.) กระทรวงกลาโหมรัสเซียยืนยันว่าพวกเขารุกคืบในแคว้นคูร์สก์ สามารถปลดปล่อยหมู่บ้านได้เพิ่มเติมอีก 3 แห่ง
ยูเครนรุกรานเข้าไปยังแคว้นคูร์สก์ของรัสเซีย เมื่อเดือนสิงหาคมปีก่อน เบื้องต้นสามารถรุกคืบได้บ้าง ก่อนหยุดชะงักภายในเวลาอันรวดเร็ว
แหล่งข่าวในรัฐบาลของเซเลนสกี บอกกับไทม์ ว่าการถูกตัดขาดจากข่าวกรองของสหรัฐฯ ได้ก่อผลสนองใหญ่หลวงเกินกว่าแคว้นคูร์สก์ โดยเน้นว่ายูเครนยังสูญเสียศักยภาพในการแกะรอยติดตามเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินขับไล่ของรัสเซีย ทำให้ประเทศแห่งนี้อ่อนแอต่อการโจมตีสายฟ้าแลบใดๆ "มันอันตรายอย่างมากสำหรับคนของเรา" แหล่งข่าวระบุ "มันจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงในทันที"
การระงับแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองยังก่อความอ่อนแอแก่แสนยานุภาพของยูเครน ในด้านการโจมตีพิสัยไกลและพิสัยปานกลางเล่นงานฐานที่มั่นทางทหารต่างๆ ของรัสเซีย เนื่องจากปฏิบัติการเหล่านี้ต้องพึ่งพิงอย่างที่สุดกับข้อมูลเป้าหมายที่แม่นยำ จากข้อมูลการสอดแนมของสหรัฐฯ นิตยสารไทม์ระบุ
สหรัฐฯ ระงับความช่วยเหลือด้านการทหารและการสนับสนุนด้านข่าวกรองแก่ยูเครน ตามหลังการโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนระหว่าง เซเลนสกี กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์
ระหว่างการพบปะหารือที่มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เซเลนกี ก่อข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเจรจากับรัสเซีย และกับ ทรัมป์ และรองประธานาธิบดีเจดี.แวนซ์ ว่า สหรัฐฯ จะรับรู้ถึงผลกระทบของสงคราม กระตุ้นให้ ทรัมป์ ตอบโต้กลับกล่าวหา เซเลนสกี ขาดความเคารพและไม่รู้จักสำนึกบุญคุณความช่วยเหลือของอเมริกาที่มอบแก่เคียฟ และกล่าวหาผู้นำยูเครน กำลังเดิมพันด้วยสงครามโลกครั้งที่ 3 จากการลังเลไม่แสวงหาสันติภาพกับรัสเซีย
พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บอกว่าการระงับความช่วยเหลือจะคงอยู่ต่อไป จนกว่าเคียฟจะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการเจรจาสันติภาพ
อีกหนึ่งสัญญาณความอ่อนแอลงของยูเครน ตามหลังสหรัฐฯ ตัดขาดการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรอง รัสเซียแถลงในวันอาทิตย์ (9 มี.ค.) ว่าพวกเขาสามารถยึดดินแดนในแคว้นซูมีของยูเครน ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดฉากรุกรานข้ามชายแดนในปี 2022
คณะผู้แทนเจรจาของทั้งสหรัฐฯ และยูเครน มีกำหนดพบปะหารือกันในซาอุดีอาระเบียในสัปดาห์หน้า ด้วยรัฐบาลของทรัมป์ มุ่งมั่นที่จะให้ได้มาซึ่งข้อตกลงหยุดยิงระหว่างเคียฟกับมอสโก และกรอบการทำงานสำหรับข้อตกลงสันติภาพ
(ที่มา : ไทม์/นิวยอร์กโพสต์/เอเอฟพี)