xs
xsm
sm
md
lg

เชื่อได้แค่ไหน? ยุโรปเอาจริงเพิ่มงบกลาโหมมุ่งรับมือรัสเซีย หลังถูกทรัมป์‘เท’อย่างไม่ใยดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สตีเฟน ไบรเอน


รถถัง ลีโอพาร์ด 2 เอ 4 ซึ่งสังกัดอยู่กับกองพลน้อยยานยนต์ส่วนแยกที่ 33 ของกองทหารภาคพื้นดินยูเครน กำลังฝึกยิงภาคสนามในสถานที่ซึ่งไม่มีการเปิดเผยในยูเครน เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2024 ทั้งนี้ รถถังเมดอินเยอรมนีรุ่นนี้ ได้สร้างความผิดหวังให้ใครต่อใครจำนวนมาก เนื่องจากไม่สามารถแสดงบทบาทเป็น “ตัวเปลี่ยนเกม” ในสงคราม อย่างที่มีการประโคมข่าวกันเกรียวกราวช่วงก่อนที่จะมีการจัดส่งมาให้กองทัพยูเครน
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)

Investor beware of robust European defense spending
by Stephen Bryen
06/03/2025

ยุโรปกำลังส่งสัญญาว่าต้องการเพิ่มงบประมาณใช้จ่ายทางทหารขึ้นไปอย่างสูงลิ่ว ทว่ามีบริษัทด้านกลาโหมของพวกเขาอยู่เพียงไม่กี่แห่งที่อยู่ในสภาพสามารถแข่งขันกับคนอื่นเขาได้ –กระทั่งการชิงชัยชนิดที่ต้องตามหลังคนอื่นๆ อยู่ห่างๆ

อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission หรือ EC องค์กรบริหารของสหภาพยุโรป) กำลังเสนอให้ยุโรปเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมของพวกเขาขึ้นไปอีก 1.5% ของจีดีพี จากระดับเฉลี่ยที่ 2.0% ซึ่งพวกประเทศยุโรปกำลังใช้จ่ายกันอยู่ในปัจจุบัน

เธอหวาดกลัวว่ามาถึงเวลานี้ยุโรปจำเป็นต้องดูแลปกป้องตัวเองแล้ว รวมทั้งมีความเข้าใจว่าบางทีสหรัฐฯอาจถึงขั้นไม่ขอแสดงตนเป็นผู้ช่วยชีวิตยุโรปให้อยู่รอดปลอดภัยอีกต่อไปด้วยซ้ำ ถ้าหากยุโรปเกิดประสบความยากลำบากเข้าจริงๆ ทั้งนี้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังส่งสัญญาณออกมาเรียบร้อยแล้วว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โตในองค์การนาโต้

ตามรายงานหลายกระแสที่แพร่กระจายกันอยู่ในวอชิงตันระบุว่า ในอนาคตข้างหน้า นาโต้ควรที่จะมีผู้บัญชาการทหารเป็นนายพลชาวสหราชอาณาจักรหรือไม่ก็ชาวฝรั่งเศส (โดยสมมุติเอาว่าเยอรมนีนี้ไม่ได้มีนายพลที่ใช้การได้อะไรกับเขาสักคนหนึ่งเลย!) ตลอดระยะเวลาหลายๆ ปีที่ผ่านมา นายพลผู้ทรงอำนาจดูแลด้านทหารสูงสุดของนาโต้ต้องเป็นชาวอเมริกันเสมอมา ตอนนี้วอชิงตันต้องการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้

โดยภาพรวม ข้อเสนอให้เพิ่มงบกลาโหมของคณะกรรมาธิการยุโรปจะมียอดขึ้นไปถึง 843,000 ล้านยูโร (909,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ทีเดียว และเพื่อช่วยเหลือให้พวกรัฐสมาชิกมีความคล่องตัวมากขึ้นในการเพิ่มงบรายจ่ายตามที่เสนอกันนี้ ทางอียูจะระดมหาเงินกู้ให้ราวๆ 150,000 ล้านยูโร ด้วยวิธีออกตราสารกู้เงินมาจำหน่ายในตลาดทุน

ใครจะเป็นผู้ได้รับจัดสรรเงินจากเงินกู้เหล่านี้, ตราสารที่จะออกมาขายเหล่านี้มีเงื่อนไขอย่างไรกันบ้าง, และระบบเศรษฐกิจแห่งไหนที่สามารถซื้อหาตราสารเงินกู้เหล่านี้ได้บ้าง ยังคงไม่มีความชัดเจน

อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป ขณะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ณ การประชุมซัมมิตของสหภาพยุโรป ในสำนักงานใหญ่อียู กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันพฤหัสบดี (6 มี.ค.) ทั้งนี้ในฐานะประธานขององค์กรบริหารของอียู เธอเสนอให้บรรดาชาติสมาชิกเพิ่มงบประมาณใช้จ่ายด้านกลาโหมขึ้นไปอีกคิดเป็นตัวเงินก็มากกว่า 800,000 ล้านยูโร ทว่าพวกผู้สังเกตการณ์ที่ติดตามสหภาพยุโรปมายาวนานบอกว่า ยังต้องเฝ้าติดตามกันต่อไป เพราะช่องว่างระหว่างความคาดหวังกับความเป็นจริงมักจะมีขนาดใหญ่โต
ปรากฏว่าหลังข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ราคาหุ้นของพวกกิจการด้านกลาโหมของยุโรปพากันพุ่งขึ้นสูง กระนั้นก็เห็นชัดเจนว่ามันมีช่องว่างอันใหญ่โตมหึมาระหว่างความคาดหวังกับการทำให้มันกลายเป็นความจริงขึ้นมา

พวกประเทศยุโรปเวลานี้เผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ทางเศรษฐกิจที่มีความร้ายแรง ซึ่งเพิ่มทวีความซับซ้อนมากขึ้นอีกจากการที่ชาติยุโรปส่วนใหญ่เจอกับราคาพลังงานทะยานขึ้นไปอย่างมโหฬาร เยอรมนีที่เป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่โตที่สุดของยุโรป กำลังจมลงสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเรียบร้อยแล้ว และประเทศนี้กำลังโยกย้ายอุตสาหกรรมบางส่วนของพวกเขาไปต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยังสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี ปัญหาที่ใหญ่โตกว่านี้อีก ซ่อนอยู่เบื้องลึกลงไปจากผิวนอกของประดาบริษัทด้านกลาโหมของยุโรปเอง

กิจการเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่แทบแข่งขันกับใครเขาไม่ได้ และต้นทุนของฮาร์ดแวร์ด้านกลาโหมของพวกเขาก็สูงลิ่วอย่างไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ดังที่ระบุเอาไว้ในรายงานฉบับหนึ่งของกลุ่มคลังสมองในยุโรปที่ได้รับความยกย่องเชื่อถืออย่าง สถาบันคีลเพื่อเศรษฐกิจโลก (Kiel Institute for the World Economy) ข้อเสนอของ ฟอน แดร์ ไลเอิน นั้น เดินตามเป๊ะๆ อย่างที่สถาบันคีลเสนอแนะเอาไว้ในเรื่องการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายด้านกลาโหมที่ยุโรปจำเป็นต้องทำ
(รายงานของสถาบันคีลเพื่อเศรษฐกิจโลก ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ifw-kiel.de/publications/news/guns-and-growth-the-economic-consequences-of-surging-defense-spending/)

ปัญหาหนึ่งเดียวที่โดดเด่นเตะตาก็คือว่า เมื่อมีรถถังมีปืนเพิ่มมากขึ้น ย่อมส่อแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีทหารเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยบางทีอาจจะต้องมีทหารภาคพื้นดินระหว่าง 300,000 ถึง 500,000 คนทีเดียว ทว่ากองกำลังดังกล่าวนี้ปัจจุบันมันยังไม่ได้มีอยู่จริงในยุโรป และแทบไม่มีลู่ทางความเป็นไปได้เอาเลยที่จะสร้างกองกำลังเช่นว่านี้ขึ้นมา การมีโกดังคลังอาวุธที่เต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์โดยที่ไม่ได้มีผู้เอาไปใช้ย่อมไม่สามารถถือเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดการกับปัญหานี้ได้ การสร้างกองทัพขึ้นมากองทัพหนึ่งนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการเลี้ยงดูให้เติบโตและควักเงินออกค่าใช้จ่ายสำหรับกองทัพดังกล่าว

โมเมนตัมในทิศทางเหล่านี้ในยุโรปเวลานี้เรียกได้ว่าอยู่ที่ศูนย์ เรื่องนี้เองสามารถใช้เป็นเหตุผลประการหนึ่งสำหรับอธิบายว่า ทำไมการกล่าวอ้างของโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ที่ว่ายูเครนสามารถเป็นผู้จัดส่งกำลังทหารซึ่งยุโรปต้องการได้ จึงเป็นคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือ นั่นก็คือในความเป็นจริงแล้ว ยูเครนไม่ได้มีกำลังคน เวลานี้กำลังคนแทบทั้งหมดของยูเครนถูกผูกติดเอาไว้ที่การสู้รบกับฝ่ายรัสเซีย อีกทั้งกำลังประสบความสูญเสียอย่างหนักหน่วงจากกระบวนการดังกล่าว

กระทั่งถ้าหากยูเครนบังเกิดสันติภาพขึ้นมาแล้วจริงๆ ก็ยังจะต้องผ่านพ้นชั่วอายุคนอีกถึง 2-3 เจเนอเรชั่น ตลอดจนใช้จ่ายเงินทองเยอะแยะมากมาย จึงจะสามารถระดมกำลังคนมาสร้างกองทัพ ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่ไม่สามารถพูดภาษายุโรปสำคัญๆ ใดๆ ได้อยู่ดี

ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากรายงานต่างๆเกี่ยวกับกองทหารเกาหลีเหนือที่กำลังสู้รบให้รัสเซียในแคว้นคูร์สก์ (ซึ่งเป็นดินแดนของรัสเซีย) เป็นความจริงแล้ว การนำเอากองทหารต่างชาติเข้ามาสู้รบปกป้องดินแดนของตนเองเช่นนี้ เมื่อมองถึงผลทางปฏิบัติมันก็เป็นไอเดียแย่ๆ อยู่ดี ทำไมทหารยูเครนจึงจะต้องเกิดแรงจูงใจที่จะสู้รบปกป้องกรุงปารีสหรือกรุงวอร์ซออย่างเต็มที่ล่ะ?

ในฐานะที่ผมเป็นอดีตประธานกรรมการบริหารสาขาในอเมริกาเหนือ ของบริษัทด้านกลาโหมแห่งใหญ่ที่สุดของอิตาลี ผมทราบเป็นอย่างดีว่าพวกบริษัทกลาโหมของยุโรปนั้นทั้งไร้ประสิทธิภาพ, เชื่องช้า, และน้อยนักที่จะให้การดูแลสนับสนุนฮาร์ดแวร์ที่ผ่านออกมาจากโรงงานของพวกเขา

ยิ่งไปกว่านั้น พวกบริษัทกลาโหมของยุโรปปกติแล้วมักต่อสู้กันเองเพื่อช่วงชิงกระทั่งส่วนเล็กส่วนน้อยของการแบ่งสรรการผลิต ซึ่งส่งผลให้ความล่าช้าของการดำเนินการผลิตในโรงงานและการนำออกมาประจำการ ยิ่งเกิดการลากยาวมากขึ้นไปอีก การทุ่มเงินทองจำนวนมากให้แก่พวกบริษัทเหล่านี้จึงน่าจะทำให้พวกเขาตกลงไปสู่วังวนของความโลภอันเลวร้าย มากกว่าที่จะทำให้มีฮาร์ดแวร์ทางทหารไหลทะลักออกมา

เป็นที่ชัดเจนว่า มันยังมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องชนิดของฮาร์ดแวร์, จำนวนเท่าใดที่จะต้องผลิต, และใครจะเป็นผลิตสิ่งเหล่านี้ออกมาอีกด้วย อาวุธยุทโธปกรณ์ของยุโรปนั้นใช่ว่าทั้งหมดได้รับการพิสูจน์แล้วว่าดีงามเลอเลิศสมดังที่ได้มีการโฆษณากันเอาไว้ หนึ่งในสิ่งที่สร้างความผิดหวังอย่างชัดแจ้งยิ่งก็คือ รถถังลีโอพาร์ด (Leopard) เมดอินเยอรมนี ซึ่งไม่สามารถแสดงบทบาทเป็นตัวเปลี่ยนเกมในยูเครนได้อย่างที่ทุกๆ คนคาดหวัง

อีกด้านหนึ่งที่ยังถือว่าอ่อนด้อยได้แก่เรื่องการป้องกันภัยทางอากาศ ยุโรปนั้นถูกทิ้งห่างไกลเอาไว้ข้างหลังในเรื่องระบบการป้องกันภัยทางอากาศสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการต่อสู้กับพวกขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยไกล (long-range ballistic missiles) ทั้งนี้ ขีปนาวุธ โอเรสนิค (Oreshnik) รุ่นใหม่ของรัสเซียที่ทำความเร็วได้ในระดับไฮเปอร์โซนิก (เร็วกว่าความเร็วเสียง 5 เท่าตัวขึ้นไป) ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในยูเครนเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2024 ที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีเหตุผลสมควรทีเดียวที่จะต้องกังวลสนใจกับอาวุธชนิดนี้
(เรื่องรัสเซียยิงขีปนาวุธโอเรสนิก ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://apnews.com/article/russia-oreshnik-hypersonic-missile-putin-ukraine-war-345588a399158b9eb0b56990b8149bd9)

เมื่อมองหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหาเช่นนี้ ฝ่ายยุโรปมีความโน้มเอียงที่จะมองออกไปหาอะไรจากข้างนอก ถ้าไม่ใช่สหรัฐฯ (ระบบป้องกันภัยทางอากาศ เอจิส อะชอร์ Aegis Ashore) ก็ต้องเป็นอิสราเอล (ระบบแอร์โรว์ 3 Arrow 3) เป้าหมายของการใช้จ่ายด้านกลาโหมก้อนมหึมาครั้งใหม่คราวนี้ ครอบคลุมถึงการนำเข้าจากต่างประเทศด้วยหรือไม่? มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่พวกเขาคงจะต้องทำเช่นนั้น เนื่องจากระบบอาวุธย่อยๆ เยอะแยะทีเดียวที่ยุโรปจำเป็นต้องมีนั้น เป็นสิ่งที่ถูกผลิตขึ้นนอกอียู

สมควรหรือไม่ที่ทางยุโรปต้องลงเรี่ยวลงแรงอย่างจริงจังเพื่อระดมจัดหาเงินทองออกมาให้ได้ตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการอียู (ซึ่งหมายความว่าแต่ละประเทศจะต้องเพิ่มงบประมาณกลาโหมของพวกเขาขึ้นไป โดยที่เจียดเอาเงินทองเหล่านี้ออกมาจากยอดงบประมาณโดยรวมของชาตินั่นเอง) แล้วปรากฏว่าพวกบริษัทกลาโหมของสหรัฐฯและของอิสราเอลคือผู้ที่คว้าธุรกิจไปได้ตั้งมากมาย

บุคลากรของกองทัพเรือสหรัฐฯและเจ้าหน้าที่อื่นๆ ขณะอยู่ ณ สถานที่ก่อสร้างสถานีประจำการของระบบป้องกันขีปนาวุธ “เอจิส อะชอร์” บริเวณนอกเมืองเรดซิโคโว ประเทศโปแลนด์ ในภาพนี้ซึ่งถ่ายเมื่อเดือนมิถุนายน 2019 สถานีแห่งนี้สร้างเสร็จและสามารถปฏิบัติการได้อย่างเต็มที่ในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ (ภาพเผยแพร่โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ)
นอกจากนี้แล้ว ยังมีปีศาจเงาทะมึนที่คอยสร้างความวิตกในเรื่องการนำสินค้าเข้ายุโรปจากพวกแหล่งที่มาซึ่งมีปัญหา พูดกันตรงๆ ก็คือ จากจีนนั่นแหละ ยุโรปนั้นกำลังอกสั่นขวัญผวาจากรัสเซีย แต่ไม่ได้รู้สึกถึงขนาดนั้นกับจีน โดยที่จีนก็คล้ายๆ กับพวกอเมริกันร่วมอาชีพของพวกเขาบางส่วน คือคอยมองหาช่องทางที่จะทำธุรกิจอยู่เรื่อยๆ

เวลานี้ ส่วนประกอบจำนวนมากที่ใช้ในการทำโดรนทางทหาร คือสิ่งที่ได้มาจากจีนอยู่แล้ว มีอันตรายทีเดียวที่ว่าในอนาคตจีนยังอาจกลายเป็นซัปพลายเออร์ขายชิ้นส่วนราคาถูกสำหรับพวกฮาร์ดแวร์ทางทหารอย่างเช่น จรวด และระบบย่อยทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ (ซึ่งฐานอุตสาหกรรมการผลิตของยุโรปยังไม่อาจสนองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเพียงพอหรืออย่างเหมาะสม)

พูดกันจนถึงที่สุดแล้ว พวกข้อเสนอที่จะเพิ่มงบประมาณรายจ่ายด้านกลาโหมในยุโรปอย่างเป็นชิ้นเป็นอันทั้งหลายนั้น ไม่น่าที่จะกลายเป็นความจริงขึ้นมาได้หรอก ช่วงระยะเวลา 50 ปีหลังสุดมานี้ที่ปล่อยให้งานจริงๆ ตกเป็นภาระของลุงแซมนั้น กำลังสิ้นสุดลงแล้ว ทว่ายุโรปยังคงแทบไม่มีการเตรียมพร้อมใดๆ เอาเลยเพื่อแสดงตัวตนในฐานะของการเป็นกองกำลังที่มีการร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว

มียุโรปบางประเทศ --ซึ่งที่ผมนึกได้ก่อนใครเพื่อนคือ โปแลนด์ –กำลังเทเงินออกมาใช้จ่ายด้านกลาโหมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เนื่องจากพวกเขาตระหนักแล้วว่าพวกเขาจะต้องกระทำเช่นนั้น แต่คนอื่นๆ ยังไม่ค่อยรู้สึกกับเรื่องนี้เท่าใดนักหรอก ยังคงมีแต่การพูดจาด้วยคำใหญ่คำโต ทว่าผลที่ออกมาจริงๆ นั้นต่ำเตี้ย ดังนั้น พวกนักลงทุนที่คิดจะเข้าไปมีส่วนในหุ้นกิจการกลาโหมของยุโรป จึงควรตระหนักถึงความเป็นจริงเหล่านี้ให้จงหนัก

สตีเฟน ไบรเอน เป็นผู้สื่อข่าวพิเศษของเอเชียไทมส์ และเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมฝ่ายนโยบายของสหรัฐฯ ข้อเขียนชิ้นนี้ทีแรกสุดปรากฏอยู่บนจดหมายข่าว Weapons and Strategy ในแพลตฟอร์ม Substack ของเขา
กำลังโหลดความคิดเห็น