ราคาน้ำมันทรงตัวในวันพฤหัสบดี (6 มี.ค.) จากแรงกดดันมาตรการรีดภาษีของสหรัฐฯและโอเปกพลัสปรับเพิ่มกำลังผลิต ส่วนวอลล์สตรีทปิดลบ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ทองคำคงที่
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 5 เซนต์ ปิดที่ 66.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ ปิดที่ 69.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แหล่งข่าวใกล้ชิดกับการหารือ ระบุว่าประธานาธิบดีทรัมป์ อาจละเว้นรีดภาษี 10% พลังงานนำเข้าจากแคนาดา อย่างเช่นน้ำมันดิบและเบนซิน ที่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าต่างๆ ในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่จีนส่งสัญญาณจะยกระดับกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าเศรษฐกิจชะลอการเติบโต โดยหาทางส่งเสริมการบริโภคและจำกัดผลกระทบของสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันถูกฉุดรั้งจากความเคลื่อนไหวของโอเปกกับพันธมิตรทั้งหลาย ในนั้นรวมถึงรัสเซีย หรือที่เรียกว่าโอเปกพลัส ที่ตัดสินใจเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ปรับเพิ่มกำลังผลิตเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดในวันพฤหัสบดี (6 มี.ค.) ถูกฉุดจากความกังวลของนักลงทุน แต่สถานการณ์ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของอเมริกา
ดาวโจนส์ ลดลง 427.51 จุด (0.99 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 42,579.08 เอสแอนด์พี ลดลง 104.11 จุด (1.78 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 5,738.52 จุด แนสแดค ลดลง 483.48 จุด (2.61 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 18,069.26 จุด
ประธานาธิบดีทรัมป์ แถลงกลับลำในวันพฤหัสบดี (6 มี.ค.) ว่าสินค้าต่างๆ จากเม็กซิโก ที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) จะได้รับการละเว้นจากการรีดภาษี 25% เป็นเวลา 1 เดือน หลังประกาศบังคับใช้ไปเมื่อต้นสัปดาห์ ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้น 1 วันหลังจาก ทรัมป์ สั่งละเว้นรีดภาษียานยนต์นำเข้า
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ไม่ได้พาดดิงถึงการระงับรีดภาษีแบบเดียวกันกับสินค้านำเข้าจากแคนาดา ขณะที่ โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ บอกก่อนหน้านี้ว่าจะมีการละเว้นชั่วคราวสินค้านำเข้าทุกชนิดที่อยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA
ส่วนราคาทองคำในวันพฤหัสบดี (6 มี.ค.) ปิดทรงตัว ตลาดหันไปเพ่งเล็งข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์ ที่จะให้เงื่อนงำแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 60 เซนต์ ปิดที่ 2,926.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์)