อเมริกาบีบเซเลนสกีชนิดหน้าเขียว ให้ยอมร่วมมือหารือยุติสงคราม ประกาศระงับการแชร์ข้อมูลข่าวกรองซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งยวดที่ช่วยยูเครนรบกับรัสเซีย ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งอียูจัดซัมมิตระดมความสามัคคีในการสนับสนุนยูเครนและปกป้องยุโรป หลังจากทรัมป์แสดงออกชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในการตีตัวถอยห่างจากพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา รวมทั้งเพิกถอนการสนับสนุนเคียฟ และกลับหันไปญาติดีกับมอสโก
ข้อมูลข่าวกรองทางทหารเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับยูเครน ทั้งในการเตรียมพร้อมรับการโจมตีของรัสเซีย รวมทั้งในการติดตามความเคลื่อนไหวของกองทหารรัสเซีย ตลอดจนใช้เป็นข้อมูลเพื่อการเลือกเป้าหมายที่เคียฟจะเข้าโจมตี นอกจากนั้น มันยังเป็นเครื่องบ่งชี้ยืนยันการสนับสนุนที่อเมริกาและพันธมิตรตะวันตกให้แก่ยูเครน
การที่สหรัฐฯ ระงับการแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองนี้ ยังเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์สั่งระงับการจัดส่งความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณตอกย้ำความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปของอเมริกากับเหล่าพันธมิตรใกล้ชิด
ความคิดเห็นของพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะบริหารของทรัมป์หลายคน บ่งชี้ว่า การตัดสินใจเช่นนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี เพื่อให้ยูเครนยอมเข้าร่วมการเจรจาทำข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย โดยที่พวกเจ้าหน้าที่เหล่านี้ยังคาดการณ์ว่า ข่าวกรองอาจจะเริ่มหลั่งไหลเข้าไปยังยูเครนอีกครั้งได้ในเร็วๆ นี้
จอห์น แรตคลิฟฟ์ ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) แถลงเมื่อวันพุธ (5 มี.ค.) ว่า การระงับการแบ่งปันข่าวกรองเกิดขึ้นหลังจากการปะทะคารมในห้องทำงานรูปไข่ระหว่างทรัมป์กับเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเสริมว่า ผู้นำสหรัฐฯ อยากรู้ว่า เซเลนสกีจริงจังกับสันติภาพหรือไม่
ขณะที่ ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ฟ็อกซ์ นิวส์ ว่า เร็วๆ นี้ยูเครนอาจได้รับข่าวกรองจากอเมริกาอีกครั้ง ถ้าเซเลนสกีแสดงให้เห็นว่า ต้องการเข้าร่วมหารืออย่างจริงจังตามเงื่อนไขของทรัมป์
อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ทำให้บรรดาผู้นำในยุโรปและพรรคเดโมแครตฝ่ายค้าน พากันตระหนกตกใจไปตามๆ กัน
ส.ส.จิม ไฮเมส ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สุดของฝ่ายเดโมแครตในคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โจมตีว่า การระงับการสนับสนุนข่าวกรองที่จำเป็นสำหรับการปกป้องชีวิตผู้คนแก่ยูเครนเป็นการกระทำที่อภัยให้ไม่ได้
ขณะที่ในกรุงบรัสเซลส์ ผู้นำ 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป นัดประชุมกันในวันพฤหัสฯ (6 มี.ค.) เพื่อระดมคิดเห็นมุ่งแสดงความเป็นเอกภาพในการให้ความสนับสนุนยูเครนและการปกป้องยุโรป หลังจากทรัมป์หันหลังให้พันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกาและเพิกถอนการสนับสนุนยูเครน ซ้ำหันไปญาติดีกับรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม แม้การประชุมในบรัสเซลส์มีเป้าหมายในการย้ำการสนับสนุนเคียฟ แต่ไม่มีแนวโน้มว่า จะมีการประกาศมาตรการสำคัญเกี่ยวกับความช่วยเหลือมูลค่า 32,000 ล้านดอลลาร์ที่อียูประกาศว่า จะมอบให้ยูเครนในปีนี้
ขณะเดียวกัน ความเป็นไปได้ที่อเมริกาจะหันหลังให้หุ้นส่วนยุโรปในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) มีแนวโน้มกระตุ้นให้เกิดฉันทมติเกี่ยวกับอีกหนึ่งประเด็นสำคัญในซัมมิตนี้คือ ความจำเป็นในการเสริมสร้างระบบป้องกันตนเองเพื่อรับมือรัสเซีย
ก่อนหน้านี้เมื่อวันอังคาร อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป ที่เป็นองค์กรบริหารของอียู ได้เปิดเผยแผนระดมทุนมูลค่า 800 ล้านยูโรเพื่อ “ติดอาวุธใหม่ให้ยุโรป” ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากการเปิดทางให้ชาติสมาชิกเพิ่มการใช้จ่ายทางทหาร โดยไลเอินกล่าวว่า ยุโรปกำลังเผชิญอันตรายเฉพาะหน้าที่ชัดเจนในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมเรียกร้องให้ยุโรปดำเนินการขั้นเด็ดขาดเพื่อรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ด้านประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครงของฝรั่งเศส ก็เรียกร้องเมื่อวันพุธให้ชาติยุโรปเพิ่มการใช้จ่ายทางทหารเพื่อเผชิญหน้า “ยุคใหม่” พร้อมกับเสริมว่า เขาพร้อมหารือเกี่ยวกับการขยายระบบป้องปรามนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส เพื่อใช้ในการปกป้องบรรดาชาติหุ้นส่วนในยุโรป
มาครงแสดงความเห็นที่ตรงกันข้ามกับทรัมป์ โดยยังคงตั้งคำถามว่า จะเชื่อได้อย่างไรว่ารัสเซียจะหยุดแค่ยูเครน และเขาอยากเชื่อว่า อเมริกาจะยังคงเคียงข้างยุโรป อย่างไรก็ตาม ยุโรปจำเป็นต้องเตรียมพร้อมหากไม่เป็นเช่นนั้น
ด้าน ฟรีดริช เมร์ซ ว่าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ประกาศความพร้อมในการรับมือ “สถานการณ์เลวร้ายที่สุด” และยอมรับการปฏิรูปอย่างถอนรากถอนโคนเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายทางการทหารของเยอรมนี
สำหรับนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของสหราชอาณาจักร เขาเรียกร้องให้ร่างแผนสันติภาพยูเครนเพื่อเสนอต่ออเมริกา โดยสตาร์เมอร์และผู้นำยุโรปคนอื่นๆ ต่างยืนยันการสนับสนุนเซเลนสกีและยูเครนระหว่างการหารือที่ลอนดอนสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากนั้นยังคาดว่า ผู้นำอียูจะเริ่มต้นหารือเกี่ยวกับการรับประกันความมั่นคงสำหรับข้อตกลงสันติภาพที่รวมถึงการส่งทหารยุโรปไปช่วยกำกับดูแลการหยุดยิงในยูเครน
อย่างไรก็ดี การสร้างแนวร่วมที่มีเอกภาพเกี่ยวกับยูเครนอาจเป็นเรื่องยากในอียู เนื่องจากวิกตอร์ ออร์บัน ผู้นำฮังการีที่เป็นพันธมิตรกับทรัมป์และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ส่งสัญญาณว่า ยังลังเลที่จะรับรองแถลงการณ์ร่วมในการสนับสนุนยูเครน
(ที่มา : เอพี/เอเอฟพี)