ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แถลงนโยบายประจำปีต่อสภาคองเกรสเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ (4 มี.ค.) ท่ามกลางเสียงตะโกนแซวและการขัดจังหวะของสมาชิกพรรคเดโมแครตบางคนที่ชูป้ายประท้วงและวอล์กเอาต์จากที่ประชุม
สัญญาณความแตกแยกของ 2 พรรคการเมืองสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นในเวลาแค่ 6 สัปดาห์แรก หลัง ทรัมป์ กลับเข้ามากุมบังเหียนสหรัฐฯ และพลิกนโยบายด้านต่างประเทศ จุดชนวนสงครามการค้ากับชาติพันธมิตร รวมถึงปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางออกนับแสนคน
การกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสครั้งแรกหลังสาบานตนเป็นผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. มีขึ้นหลังจากที่ ทรัมป์ เพิ่งจะเซ็นคำสั่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนระลอกใหม่
ทรัมป์ ใช้เวลากล่าวสุนทรพจน์ถึง 100 นาที ซึ่งถือว่านานที่สุดในประวัติศาสตร์การแถลงนโยบายต่อสภาคองเกรสของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในยุคสมัยใหม่ ตามข้อมูลจาก The American Presidency Project
สุนทรพจน์ครั้งนี้มีการใช้ถ้อยคำคล้ายๆ กับตอนที่ ทรัมป์ ปราศรัยหาเสียง แต่เห็นได้ชัดว่าผู้นำสหรัฐฯ พยายามเลี่ยงไม่ “พูดนอกบท” ที่เตรียมเอาไว้
ทรัมป์ ยังคงวิพากษ์วิจารณ์อดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต เรียกผู้อพยพที่เป็นอาชญากรว่า “พวกป่าเถื่อน” (savages) และโจมตีสิ่งที่เขาเรียกว่า “อุดมการณ์ข้ามเพศ” (transgender ideology)
ทรัมป์ ให้สัญญาว่าจะทำให้งบประมาณภาครัฐกลับมาอยู่ในภาวะสมดุล แต่ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายลดหย่อนภาษี ซึ่งนักวิเคราะห์อิสระเตือนว่าจะทำให้รัฐบาลอเมริกันเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ จากระดับ 36 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
สภาคองเกรสจำเป็นจะต้องขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ภายในปีนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ (default)
ผู้นำทั่วโลกต่างเฝ้าจับตาดูการแถลงนโยบายของ ทรัมป์ ด้วยใจจดจ่อ หลังจากที่เขาสั่งระงับความช่วยเหลือทางทหารทั้งหมดต่อยูเครน โดยเป็นผลมาจากศึกวิวาทะช็อกโลกระหว่าง ทรัมป์ กับประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ทรัมป์ กล่าวว่า เซเลนสกี ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงเขาเมื่อวันอังคาร (4) โดยระบุว่ายูเครนพร้อมที่จะลงนามสัญญาแร่ธาตุหายากกับสหรัฐฯ และยินดีเข้าสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย
“ยูเครนพร้อมสำหรับการเข้าสู่โต๊ะเจรจาโดยเร็วที่สุดเพื่อให้สันติภาพที่ยังยืนใกล้เข้ามา ไม่มีใครต้องการสันติภาพมากไปกว่าชาวยูเครน” ทรัมป์ อ้างถึงเนื้อความในจดหมายของ เซเลนสกี
“และในขณะเดียวกัน เราก็ได้มีการหารือที่จริงจังกับรัสเซีย และได้เห็นสัญญาณที่เข้มแข็งว่าพวกเขาพร้อมสำหรับการสร้างสันติภาพ” ทรัมป์ กล่าว “นั่นไม่ใช่สิ่งที่สวยงามหรอกหรือ?”
“มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดความบ้าคลั่งนี้ ถึงเวลาที่จะต้องหยุดการเข่นฆ่า ถึงเวลาที่จะต้องหยุดสงครามไร้สตินี้ และถ้าคุณต้องการจบสงครามคุณจำเป็นต้องคุยกับทั้ง 2 ฝ่าย”
การระงับความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ เสี่ยงที่จะทำให้ยูเครนหมดหนทางต้านทานการโจมตีของรัสเซียซึ่งเปิดศึกรุกรานยูเครนเต็มขั้นตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว และสร้างความวิตกกังวลต่อบรรดาผู้นำยุโรปที่เกรงว่า ทรัมป์ กำลังจะพาสหรัฐฯ เข้าใกล้ชิดมอสโกมากเกินไป
แม้ ทรัมป์ จะเคยกล่าวหายูเครนว่าเป็นฝ่ายเริ่มสงคราม แต่ผลสำรวจความคิดเห็นรอยเตอร์/อิปซอสล่าสุดพบว่า คนอเมริกัน 70% รวมถึงฐานเสียงรีพับลิกัน 2 ใน 3 เชื่อว่ารัสเซียสมควรถูกประณามมากกว่า
“เพื่อนร่วมชาติทั้งหลาย อเมริกากลับมาแล้ว” ทรัมป์ กล่าวเกริ่นนำหลังรับการยืนปรบมือเพื่อเป็นเกียรติ (standing ovation) จากเพื่อนร่วมพรรครีพับลิกัน
“ประเทศของเราจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งอย่างชนิดที่โลกไม่เห็นเห็นมาก่อน และอาจจะไม่ได้พบเห็นอีกแล้วหลังจากนี้” เขากล่าว
สมาชิกพรรคเดโมแครตบางคนชูป้ายประท้วงที่มีข้อความเขียนว่า “ไม่มีกษัตริย์ (no king)” และ “นี่มันไม่ปกติ (This Is NOT Normal)” และมีอยู่ประมาณ 30 คนที่วอล์กเอาต์จากห้องประชุมหลัง ทรัมป์ พูดไปได้ไม่ถึง 1 ชั่วโมง
อัล กรีน ส.ส.เดโมแครตจากรัฐเทกซัส ลุกขึ้นประท้วง ทรัมป์ และปฏิเสธที่จะนั่งลง จนถูกประธานสภาผู้แทนราษฎร ไมค์ จอห์นสัน สั่งให้ตำรวจสภาคุมตัวออกไปจากห้องประชุม
กรีน ยกไม้เท้าช่วยเดินชี้หน้า ทรัมป์ และดูเหมือนจะพยายามตะโกนบอกว่า ทรัมป์ ไม่ได้รับอาณัติจากประชาชนในศึกเลือกตั้งเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากประธานาธิบดีโอ้อวดถึงชัยชนะของฝ่ายรีพับลิกัน และในขณะที่เขาถูกคุมตัวออกจากสภาก็มี ส.ส.รีพับลิกันบางคนที่ร้องเพลงเยาะเย้ย “Nah, nah, nah, nah, hey, hey, goodbye."
ทรัมป์ ซึ่งเป็นนักวิวาทะทางการเมืองตัวยงอยู่แล้วแสดงท่าทีไม่ยี่หระกับเสียงคัดค้าน
“ผมมองดูสมาชิกพรรคเดโมแครตที่อยู่ตรงหน้าผม และรู้ว่าไม่มีอะไรที่ผมจะพูดเพื่อทำให้พวกเขามีความสุข หรือทำให้พวกเขาลุกขึ้นยืน หรือยิ้ม หรือปรบมือให้ได้” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว
ทรัมป์ ยังกล่าวชื่นชมบทบาทของมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ และกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ซึ่งเข้ามาสั่งปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางออกไปแล้วมากกว่า 100,000 คน ตัดเงินช่วยเหลือต่างประเทศหลายพันล้านดอลลาร์ และสั่งปิดหน่วยงานรัฐไปแล้วหลายแห่ง
ทรัมป์ ให้เครดิต มัสก์ ว่าเป็นผู้ที่ “ระบุวงเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ที่ถูกฉ้อโกงไป” ซึ่งเป็นคำพูดที่ออกจะเกินจริงจากที่รัฐบาลเคยอ้างมา ขณะที่ มัสก์ ซึ่งนั่งอยู่ภายในห้องประชุมก็รับการยืนปรบมือเป็นเกียรติจากเหล่าสมาชิกพรรครีพับลิกัน
ทรัมป์ เอ่ยย้ำความตั้งใจที่จะสั่งรีดภาษีแก้แค้นประเทศต่างๆ ในวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งคาดว่าจะสร้างความระส่ำระสายต่อตลาดการเงินโลกมากขึ้นไปอีก
“ประเทศอื่นๆ เรียกเก็บภาษีจากเรามานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว และถึงเวลาที่เราจะเริ่มใช้มาตรการทางภาษีกับประเทศอื่นบ้าง” ทรัมป์ กล่าว
ในจุดนี้ปรากฏว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วนไม่ได้ลุกขึ้นยืนปรบมือให้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านโยบายรีดภาษีของ ทรัมป์ กำลังสร้างความแตกแยกแม้แต่ภายในพรรคของเขาเอง
ทรัมป์ ได้ประกาศรีดภาษีสินค้านำเข้าเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และยังเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มขึ้นอีก 10% รวมเป็น 20% จนทำให้บรรดานักลงทุนต่างกังวลถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
โพลรอยเตอร์/อิปซอสพบว่า มีชาวอเมริกันเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ “พอใจ” วิธีการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของทรัมป์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตรายท่ามกลางความวิตกกังวลว่าการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจะยิ่งกระพือวิกฤตเงินเฟ้อ
ทรัมป์ ยังเรียกร้องให้สภาคองเกรสต่ออายุกฎหมายลดหย่อนภาษีที่เขานำมาบังคับใช้เมื่อปี 2017 และเวลาพรรครีพับลิกันก็กำลังเร่งผลักดันร่างงบประมาณ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ที่จะขยายมาตรการลดภาษี เสริมความมั่นคงชายแดน และเป็นค่าใช้จ่ายในการเนรเทศผู้อพยพ
ที่มา : รอยเตอร์