สหราชอาณาจักรจะสามารถอยู่รอดได้ จากความเคลื่อนไหวแบบเดียวกับขบวนการ MAGA ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จากความเห็นของอดีตนายกรัฐมนตรีลิซ ทรัสส์ พร้อมเรียกร้องให้จัดการกับ "รัฐพันลึก (Deep State)" ในแบบเดียวกับอีลอน มัสก์
ระหว่างกล่าวกับที่ประชุมของกลุ่มสนับสนุนแนวคิดอนุรักษนิยม Conservative Political Action Conference (CPAC) ใกล้วอชิงตัน เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ อดีตนายกรัฐมตรีหญิงรายนี้ อ้างว่าพวกข้าราชการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งบ่อนทำลายรัฐบาลของเธอ และยังคงเดินหน้าขัดขวางการปฏิรูปและเพิกเฉยเสียงเรียกร้องของพวกผู้มีสิทธิออกเสียง
ทรัสส์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียง 49 วันในปี 2022 อ้างว่าผู้มีอำนาจของสหราชอาณาจักร ขัดขวางเธอจากการลงมือเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจแม้ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชน "กลุ่มคนเดียวกันนี้ยังทำการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ มันคือรัฐพันลึก (deep state) มันคือระบบราชการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มันคืออำนาจตุลาการ"
นายกรัฐมนตรีรายนี้ยังได้ยกย่องความพยายามของทรัมป์ ในการยกเครื่องรัฐบาลสหรัฐฯ อ้างว่าผู้คนในสหราชอาณาจักรก็ต้องการเห็นการปฏิรูปแบบเดียวกัน "เราต้องการแบนผู้ชายจากห้องน้ำหญิงและกีฬาของผู้หญิง เราต้องการเนรเทศพวกคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย"
"เราต้องการเห็นการปฏิวัติแบบเดียวกับทรัมป์ในสหราชอาณาจักร" เธอสรุป พร้อมชี้ถึง อีลอน มัสก์ ผู้ซึ่งทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯในการตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง "เราต้องการอีลอน มัสก์ และกองทัพเด็กเนิร์ดของเขา ตรวจสอบ Deep State ของสหราชอาณาจักร"
ทรัสส์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร จากวันที่ 6 กันยายน ถึง 25 ตุลาคม 2022 ซึ่งถือว่าสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์สหราชอาณาจักร รัฐบาลของเธอเสนองบประมาณขนาดย่อมที่โหมกระพือความยุ่งเหยิงแก่ตลาด ค่าเงินปอนด์ดำดิ่งและก่อความตื่นตระหนกแก่นักลงทุน นำมาซึ่งการก่อขบถภายในพรรคของเธอ และทำให้เธอต้องตัดสินใจลาออกหลังอยู่ในตำแหน่งได้ไม่ถึง 7 สัปดาห์
หลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์ ดำเนินการอย่างกระตือรือร้นในความพยายามปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง ผ่านกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ โดยในวันพุธ (19 ก.พ.) เขาเผยว่าา เขากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการคืนเงินบางส่วนที่รัฐบาลประหยัดได้จากการดำเนินการของกระทรวงการเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาลให้ประชาชนชาวอเมริกา ซึ่งอาจอยู่ที่จำนวนราว 5,000 ดอลลาร์ต่อครัวเรือน
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)