เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้ยกเลิกการผลิตเหรียญเพนนีมูลค่า 1 เซนต์อ้างไม่คุ้มต้นทุนการผลิตที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาหน้าเหรียญ สั่งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ หยุดการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันต่างชาติ FCPA (Foreign Corrupt Practices Act) ชั่วคราวเพื่อไฟเขียวเอื้อบริษัทอเมริกันให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติได้ไม่ผิดกฎหมาย ธ.โกลแมนแซคส์ชื่อดังเมื่อปี 2020 เคยโดนลงดาบต้องจ่ายค่าปรับกว่า 2.9 พันล้านดอลลาร์คดีจ่ายสินบนเจ้าหน้าที่มาเลเซียและอาบูดาบีในความเชื่อมโยงคดีโกงกองทุนมั่งคั่งมาเลเซีย 1MDB
เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันจันทร์ (12 ก.พ.) ว่า ผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความตะลึงอีกครั้งด้วยการสั่งให้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยุติการผลิตเหรียญเพนนีใหม่โดยเรียกการผลิตเหล่านี้ว่า “สิ้นเปลือง”
ในคำแถลงบนแฟลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของทรัมป์คืนวันอาทิตย์ (9) หลังกลับมาจากการแข่งศึกคนชนคนซูเปอร์โบลว์ที่กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่อยู่ในตำแหน่งเข้าชมท่ามกลางเสียงโห่นักร้องชื่อดังที่ประกาศรับรองคู่แข่งพรรคเดโมแครต เทย์เลอร์ สวิฟต์ หวานใจ ทราวิส เคลซีย์ ว่า
“กำจัดสิ่งสิ้นเปลืองออกไปจากงบประมาณประเทศที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ “เพนนี” ในแต่ละครั้ง” ทรัมป์กล่าวอย่างติดตลกถึงการยกเลิกการผลิตเหรียญเพนนีที่มีมูลค่าต่ำสุดของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
สื่ออังกฤษชี้ว่า แต่ทว่ามาจนถึงเวลานี้กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ที่มีหน้าที่ดูแลโรงกษาปณ์สหรัฐฯ (US. Mint) ยังไม่ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการในการยุติการผลิตเหรียญเพนนีออกมา และกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นในเรื่องนี้ต่อเดอะการ์เดียน
โรงกษาปณ์สหรัฐฯ ผลิตเหรียญเพนนีราว 3.2 พันล้านเหรียญในปี 2024 ซึ่งมูลค่าเหรียญทองแดงเพนนีตก 100 เพนนีเท่ากับ 1 ดอลลาร์ เป็นต้นว่า ราคาสบู่เจอร์เกนส์แพก 3 ก้อนที่ห้างวอลมาร์ทตก 24.99 ดอลลาร์ แต่ราคาที่ผู้บริโภคอเมริกันในรัฐแคลิฟอร์เนียจ่ายจะตกที่ 24.99 ดอลลาร์ บวกภาษี VAT อีก 7.25% จะตกอยู่ที่ 26.80 ดอลลาร์และต้องใช้เงินเพนนีราว 80 เซนต์ร่วมด้วยในการชำระเป็นเงินสดหากไม่ใช่เหรียญไดม์ 10 เซนต์ หรือเหรียญนิกเกิลราคา 5 เซนต์
สื่ออังกฤษชี้ว่า การผลิตเหรียญเพนนีในปี 2024 เป็นการผลิตจำนวนมากที่สุดกว่าเหรียญประเภทอื่นส่งผลทำให้โรงกษาปณ์สหรัฐฯ ต้องขาดทุน 85.3 ล้านดอลลาร์ โดยในการผลิตต้นทุนตกอยู่ที่ 3.07 เซนต์เพิ่มจากเดิมที่ 3.01 เซนต์ในปี 2023 แต่เหรียญเพนนีส่วนใหญ่ในการหมุนเวียนนั้นไม่เคยถูกใช้ส่งผลทำให้โรงกษาปณ์สหรัฐฯ ต้องผลิตเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีอำนาจใจการยุติการผลิตเหรียญเพนนีหรือไม่จากการที่สภาคองเกรสสหรัฐฯ เป็นผู้กำกับการผลิตเหรียญในสกุลเงินสหรัฐฯ
หากว่าเกิดขึ้นจริงสหรัฐฯ จะกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ชาติของโลกที่ยุติการผลิตเหรียญเงินมูลค่าต่ำของตัวเองให้ประชาชนใช้จับจ่ายด้วยเหตุผลด้านต้นทุนเป็นต้นว่า แคนาดา ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ บราซิล
และในเวลาเดียวกันที่สั่งหยุดการผลิตเงินเหรียญเพนนีสำหรับคนจนพบว่าผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จนมั่งคั่งและยังคงมีอาณาจักร์ธุรกิจทรัมป์อยู่ในระหว่างการดำรงตำแหน่งแต่ในวันจันทร์ (11) ได้ลงนามคำสั่งบริหารสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ หยุดการบังคับใช้กฎหมายคอร์รัปชันต่างชาติ FCPA (Foreign Corrupt Practices Act) ชั่วคราว เพื่ออนุญาตให้บริษัทอเมริกันสามารถจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติได้ไม่ผิดกฎหมายอเมริกัน โดยอ้างไปถึงความสามารถทางการแข่งขันกับบริษัทต่างชาติ CNBC ของสหรัฐฯ รายงานวันจันทร์ (10)
“มันฟังดูดี แต่มันทำร้ายประเทศ” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวถึงกฎหมายคอร์รัปชันต่างชาติขณะที่กำลังลงนามคำสั่งในทำเนียบขาว
และเสริมต่อว่า “มีข้อตกลงมากมายไม่สามารถบรรลุได้เป็นเพราะไม่มีใครต้องการทำธุรกิจ เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการรู้สึกว่าทุกครั้งที่คนเหล่านั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาคนเหล่านั้นต้องเข้าคุก” โดยอ้างไปถึงความพยายามของหน่วยงานรัฐในอดีตที่ต้องการปราบปรามคอร์รัปชัน
กฎหมาย FCPA ผ่านในปี 1977 ห้ามพลเมืองสหรัฐฯ และบริษัทเอกชนสัญชาติอเมริกันจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐต่างชาติ และต่อมาในปี 1998 ได้มีการปรับแก้ไขเป็นกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันระหว่างประเทศปี 1998
อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์ยูเอสเอทูเดย์ของสหรัฐฯ พบว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทได้ยื่นเรื่องฟ้อง 26 คดีเกี่ยวข้องการละเมิดกฎหมายกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันต่างชาติ FCPA และมีไม่ต่ำกว่า 31 บริษัทถูกสอบสวนการละเมิดให้สินบนต่างชาติในปี 2024
กฎหมาย FCPA ยังสามารถเอาผิดธนาคารยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ โกลแมนแซคส์ อ้างอิงจากเว็บไซต์กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แถลงเมื่อวันที่ 22 ต.ค. ปี 2020 ธนาคารวาณิชธนกิจโกลแมนแซคส์ที่ถูกตั้งข้อหาความผิดให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐบาลมาเลเซียและเจ้าหน้าที่รัฐบาลอูดาบีตกลงยินยอมจ่ายค่าปรับกว่า 2.9 พันล้านดอลลาร์
เป็นความเชื่อมโยงกับแผนการจ่ายสินบนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลทั้ง 2 ชาติเพื่อให้ได้ธุรกิจกำไรงาม รวมไปถึงบทบาทของตัวเองในคดีมหากาพย์กองทุนมั่งคั่งมาเลเซีย 1MDB ของอดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค
โกลด์แมน แซคส์ได้ช่วยกองทุน 1MDB ระดมเงินทุน 6.5 พันล้านดอลลาร์ผ่านการขายตราสารหนี้ 3 ชุด แต่เงิน 4.5 พันล้านดอลลาร์จากการขายตราสารหนี้ดังกล่าวกลับถูกโอนเข้าบัญชีของเจ้าหน้าที่รัฐบาล นายธนาคาร และกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกันอื่นๆ ผ่านการให้สินบนและเงินใต้โต๊ะระหว่างปี 2552-2558