นิสสันเตรียมยกเลิกการเจรจาควบรวมกิจการกับฮอนด้าเพื่อขึ้นเป็นค่ายรถใหญ่อันดับ 3 ของโลกในแง่ยอดขาย หลังมีข่าวฮอนด้าต้องการเปลี่ยนแผนให้นิสสันเป็นแค่บริษัทในเครือ แทนการควบรวมแบบเท่าเทียม ทั้งนี้ ตามรายงานของนิกเกอิ สื่อทรงอิทธิพลด้านข่าวธุรกิจและการเงินของญี่ปุ่น
ในเวลาต่อมา สำนักข่าวรอยเตอร์ก็รายงานทำนองเดียวกัน โดยอ้างแหล่งข่าว 2 รายพูดกับตนในวันพุธว่า นิสสันดูแน่วแน่ที่จะถอยกลับออกมาจากการหารือเรื่องควบคุมกับฮอนด้า
โดยที่การหารือระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นทั้ง 2 รายนี้กำลังซับซ้อนยุ่งยากจากการที่มีความแตกต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เป็นคำบอกเล่าของหลายๆ คนที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้
ในเฉพาะหน้านี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าแผนการควบรวมนี้สามารถอยู่รอดต่อไปหรือไม่ โดยความคิดเห็นจากแหล่งข่าว 2 รายนี้ของรอยเตอร์ ดูเหมือนยังมีการเปิดทางเลือกสำหรับการเริ่มต้นกันใหม่เอาไว้
เมื่อวันพุธ (5 ก.พ.) ราคาหุ้นนิสสันรูดลงกว่า 4% ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวจะระงับการซื้อขาย ส่วนหุ้นฮอนด้ายังเทรดตามปกติและปิดการซื้อขายด้วยการบวกกว่า 8% บ่งชี้ว่า นักลงทุนโล่งใจที่จะมีการยกเลิกแผนการควบรวมกับนิสสัน
ทั้งนี้ ปลายปีที่แล้ว ฮอนด้าและนิสสัน บริษัทรถอันดับ 2 และ 3 ของญี่ปุ่น เผยว่า ได้เริ่มต้นหารือความเป็นไปได้ในการควบรวมกิจการซึ่งจะทำให้เกิดบริษัทรถใหญ่อันดับ 3 ของโลกในแง่ยอดขาย ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญการคุกคามจากบีวายดีและผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งอื่นๆ ของจีน
ทว่า แหล่งข่าววงในที่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อ เผยว่า การเจรจามีความซับซ้อนเนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีความเห็นขัดแย้งกันมากขึ้น
ก่อนหน้านี้รอยเตอร์รายงานว่า นิสสันอาจยกเลิกการเจรจา ทว่า แหล่งข่าวคนหนึ่งเผยว่า เมื่อเย็นวันพุธ คณะกรรมการบริหารนิสสันยังคงประชุมกันอยู่ว่า จะตัดสินใจดำเนินการอย่างไร
หนังสือพิมพ์นิกเกอิและสถานีโทรทัศน์ทีบีเอส ต่างรายงานว่า ฮอนด้าเสนอให้นิสสันเป็นบริษัทในเครือ แทนที่จะควบรวมกิจการแบบเท่าเทียมภายใต้บริษัทโฮลดิ้งแห่งใหม่ตามที่คุยกันแต่แรก
ทั้งนิสสันและฮอนด้าต่างออกคำแถลงยืนยันว่า รายงานของนิกเกอิไม่ได้อิงกับข้อมูลที่ทั้งสองบริษัทประกาศ และนิสสันและฮอนด้ามีแผนตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตและจะประกาศให้ทราบในช่วงกลางเดือนนี้
อย่างไรก็ดี เอเอฟพีกลับรายงานว่า คำแถลงของนิสสันระบุว่า ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการใดๆ แต่ทั้งสองบริษัทอยู่ในขั้นตอนการเจรจาหลายประเด็น ซึ่งรวมถึงประเด็นที่เป็นข่าว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดคำถามว่า นิสสันจะแก้ไขวิกฤตล่าสุดได้ยากแค่ไหนถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากภายนอก โดยขณะนี้นิสสันกำลังดำเนินการแผนพลิกฟื้นกิจการ ซึ่งจะมีการปลดพนักงาน 9,000 คน และลดกำลังผลิตทั่วโลก 20%
ด้านฮอนด้าที่มีมูลค่าตลาดมากกว่านิสสันเกือบ 5 เท่านั้น กังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความคืบหน้าของแผนการพลิกฟื้นนิสสัน
การเจรจาระหว่างฮอนด้ากับนิสสันเกิดขึ้นท่ามกลางแนวโน้มการชะงักงันจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นักวิเคราะห์คาดว่า มาตรการภาษีศุลกากรของอเมริกาต่อเม็กซิโกจะส่งผลกระทบต่อนิสสันมากกว่าฮอนด้าหรือโตโยต้า
นอกจากนั้น นิสสันยังได้รับผลกระทบมากกว่าค่ายรถอื่นๆ จากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่บริษัทยังไม่สามารถฟื้นตัวอย่างเต็มที่หลังเผชิญวิกฤตนานหลายปีที่เริ่มต้นจากการจับกุมและการปลดคาร์ลอส โกส์น อดีตประธานกรรมการ ในปี 2018 ที่ภายหลังได้ประกันตัวและหลบหนีออกจากญี่ปุ่น
รายงานเสริมว่า นิสสันยังมีหนี้สินหลายพันล้านดอลลาร์ที่จะครบกำหนดภายใน 2 ปีหน้า
คริสโตเฟอร์ ริกเตอร์ นักวิเคราะห์ด้านยานยนต์ในญี่ปุ่นของบริษัทโบรกเกอร์ ซีแอลเอสเอ ชี้ว่า ข่าวที่ว่านิสสันไม่ต้องการเป็นบริษัทในเครือของฮอนด้าตอกย้ำว่า ประเด็นขัดแย้งสำคัญคืออำนาจการควบคุม โดยในทางกลับกัน ถ้าไม่มีอำนาจควบคุมนิสสัน ฮอนด้าอาจเป็นฝ่ายถอนตัวจากการเจรจา
ทางด้านเรโนลต์จากฝรั่งเศสที่เป็นพันธมิตรเก่าแก่และถือหุ้น 36% ในนิสสันนั้น เคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่า เปิดกว้างในหลักการในการควบรวมกิจการระหว่างนิสสันกับฮอนด้า
เดือนที่แล้วแหล่งข่าวยังเปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ พันธมิตรของนิสสัน อาจไม่เข้าร่วมในการควบรวมกิจการระหว่างนิสสันกับฮอนด้า
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเอฟพี)