รัฐบาลซาอุดีอาระเบียออกมาประกาศชัดเจนวันนี้ (5 ก.พ.) ว่า ซาอุดีอาระเบียจะไม่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลหากไม่มีการก่อตั้งรัฐปาเลสไตน์ โดยเป็นการโต้แย้งคำพูดของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่เปรยแนวคิดยึดดินแดนกาซา แถมยังอ้างว่าริยาดไม่เคยเรียกร้องเรื่องดินแดนมาตุภูมิของชาวปาเลสไตน์
ทรัมป์ สร้างความแตกตื่นอีกครั้งเมื่อวันอังคาร (7) โดยระบุว่าสหรัฐฯ อาจจะเข้า “เทกโอเวอร์” กาซาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของดินแดนแห่งนี้ หลังจากที่ส่งชาวปาเลสไตน์ออกไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น โดยเขาเสนอไอเดียนี้ระหว่างที่เปิดแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอลที่ทำเนียบขาว
ล่าสุด กระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียได้มีถ้อยแถลงวันนี้ (5) ว่า ซาอุฯ ขอปฏิเสธความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะเคลื่อนย้ายชาวปาเลสไตน์ออกจากดินแดนของพวกเขา และจุดยืนของริยาดในประเด็นปาเลสไตน์นั้นเป็นสิ่งที่ “ต่อรองไม่ได้”
ถ้อยแถลงนี้ยังอ้างถึง “จุดยืนและท่าทีที่ชัดเจน” ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุฯ ที่ “ไม่อาจตีความเป็นอื่นได้ ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตาม”
ทั้งนี้ การบีบบังคับให้ชาวปาเลสไตน์ต้องย้ายออกจากกาซาถือเป็นเรื่องที่เปราะบางละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ทั้งสำหรับชาวปาเลสไตน์เอง และรัฐอาหรับทั้งหลาย
สงครามที่เกิดขึ้นในกาซายังทำให้ชาวปาเลสไตน์หวาดกลัวว่าพวกเขาอาจต้องเผชิญกับ “นักบา” (Nakba) หรือหายนะครั้งใหม่ ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่ชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนตัวเองตอนที่มีการสถาปนารัฐอิสราเอล
เมื่อพูดถึงนโยบายของซาอุดีอาระเบียในตะวันออกกลางแล้ว ทั้ง ทรัมป์ และอิสราเอลต่างก็มีเดิมพันสูงทั้งสิ้น โดยสหรัฐฯ นั้นใช้เวลาตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาในการพยายามโน้มน้าวเกลี้ยกล่อมให้ซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจที่มีอิทธิพลที่สุดของโลกอาหรับยอมสถาปนาความสัมพันธ์ระดับปกติกับอิสราเอล และยอมรับว่าอิสราเอลเป็น “ประเทศ” ทว่าสงครามในกาซาที่ปะทุขึ้นเมื่อเดือน ต.ค. ปี 2023 ทำให้ริยาดจำเป็นต้องพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ท่ามกลางกระแสความโกรธแค้นที่โลกอาหรับมีต่อปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล
ทรัมป์ ต้องการให้ซาอุดีอาระเบียดำเนินนโยบายตามอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ศูนย์กลางธุรกิจการและการค้าในโลกอาหรับ รวมถึงบาห์เรนที่ยอมลงนามข้อตกลงอบราฮัม (Abraham Accords) ในปี 2020 เพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติกับอิสราเอล และกลายเป็นรัฐอาหรับรายแรกๆ ในรอบกว่า 25 ปีที่กล้าแหวกธรรมเนียมข้อห้ามในการผูกสัมพันธ์รัฐยิว
ทั้งนี้ การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดีอาระเบียจะถือเป็น “รางวัลใหญ่” สำหรับอิสราเอล เนื่องจากริยาดนั้นมีอิทธิพลกว้างขวางครอบคลุมทั้งในตะวันออกกลางและโลกมุสลิม อีกทั้งยังเป็นชาติผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกด้วย
ที่มา : รอยเตอร์