ประธานาธิบดี ไล่ ชิงเต๋อ แห่งไต้หวัน ระบุวันนี้ (3 ก.พ.) ว่า ไต้หวันและจีนจำเป็นต้องหันหน้าพูดคุยกันเพื่อให้เกิดสันติภาพ หลังบริบทการเมืองโลกเกิด “การเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน” ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณชวนปักกิ่งรอมชอมมากกว่าที่จะเผชิญหน้ากันต่อไป
ไล่ ซึ่งถูกรัฐบาลจีนตราหน้าว่าเป็น “นักแบ่งแยกดินแดน” พยายามยื่นข้อเสนอขอพูดคุยกับปักกิ่ง ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ได้ยกระดับกดดันไต้หวันทั้งในทางการเมืองและทหารเพื่อบีบให้ไทเปยอมรับในอำนาจอธิปไตยของจีน
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ทั้งจีนและไต้หวันต่างก็เผชิญแรงบีบจากรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนอกจากจะสั่งรีดภาษีสินค้านำเข้าจีนแล้ว ยังขู่จะใช้มาตรการเดียวกันกับเซมิคอนดักเตอร์นำเข้าซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของไต้หวันด้วย
ระหว่างกล่าวปาฐกถาต่อผู้แทนภาคธุรกิจไต้หวันที่เข้าไปลงทุนในจีน ไล่ ชี้ว่าไต้หวันและจีนต่างมี “ศัตรูร่วม” ก็คือภัยธรรมชาติ และมี “เป้าหมายร่วม” อยู่ที่การสร้างความอยู่ดีกินดีให้ผู้คนทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบ
“ดังนั้น ในห้วงเวลาที่สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างซับซ้อนเช่นนี้ เราทั้ง 2 ฝั่งช่องแคบจึงยิ่งควรที่จะพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันด้วยดี เพื่อให้เกิดสันติภาพ” เขากล่าว
ผู้นำไต้หวันเอ่ยเสริมว่า รัฐบาลของเขาเต็มใจที่จะเปิดเจรจากับจีนบนพื้นฐานของความเท่าเทียมที่ไร้เงื่อนไข และอยากให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าพูดคุยมากกว่าเผชิญหน้า แต่ขณะเดียวกันก็ย้ำว่าอนาคตของไต้หวันมีเพียงประชาชนไต้หวันเท่านั้นที่จะตัดสินใจ
สำนักงานกิจการไต้หวันของจีนยังไม่ออกมาให้ความเห็นต่อคำพูดของ ไล่ ชิงเต๋อ ทว่าที่ผ่านมาจีนเรียกร้องให้ไต้หวันยอมรับว่าดินแดน 2 ฝั่งช่องแคบคือส่วนหนึ่งของ “จีนเดียว” (One China) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ ไล่ และรัฐบาลพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ไม่เอาด้วย
ไล่ ยังกล่าวด้วยว่า ไต้หวันไม่ควรมี “ภาพลวงตา” เกี่ยวกับสันติภาพ และจำเป็นต้องแสวงหาสันติภาพผ่านความเข้มแข็งด้วยการเสริมเขี้ยวเล็บของตนเอง และยืนหยัดเคียงข้างรัฐประชาธิปไตยอื่นๆ อย่างสง่าผ่าเผย
“ประเทศจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีอธิปไตย และเพราะมีไต้หวันเท่านั้นจึงมีสาธารณรัฐจีน” ไล่ กล่าว โดยเอ่ยถึงชื่ออย่างเป็นทางการของเกาะไต้หวัน
ที่มา : รอยเตอร์