รัฐบาลไต้หวันสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรัฐและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญใช้โมเดลเอไอของ DeepSeek โดยให้เหตุผลว่าเป็น “ผลิตภัณฑ์ของจีน” ซึ่งอาจสร้างภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
DeepSeek ซึ่งมีฐานอยู่ที่นครหางโจวได้เปิดตัวแชตบอต R1 เมื่อเดือนที่แล้ว โดยอ้างว่ามีประสิทธิภาพในการทำงานเทียบเคียงกับโมเดลเอไอของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในสหรัฐฯ ทว่าใช้เม็ดเงินลงทุนที่ต่ำกว่ามาก
หลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และอิตาลี เริ่มออกมาตั้งคำถามถึงแนวทางจัดการข้อมูลของบริษัทสตาร์ทอัปเอไอรายนี้
ล่าสุด กระทรวงกิจการดิจิทัลของไต้หวันได้ออกประกาศเมื่อวันศุกร์ (31 ม.ค.) ห้ามมิให้หน่วยงานรัฐทุกแห่งและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญใช้งาน DeepSeek เนื่องจาก “เป็นอันตรายต่อความมั่นคงปลอดภัยทางข้อมูลของชาติ”
ทางกระทรวงชี้แจงเพิ่มเติมว่า “บริการเอไอของ DeepSeek ถือเป็นผลิตภัณฑ์จีน ปฏิบัติการของมันเกี่ยวข้องกับการส่งต่อข้อมูลข้ามพรมแดน การรั่วไหลของข้อมูล และมีสิ่งที่น่ากังวลอื่นๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยข้อมูล”
ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าใช้กลยุทธ์ “พื้นที่สีเทา” (grey zone) บ่อนทำลายความมั่นคงของไต้หวัน รวมถึงปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ เพื่อที่จะอ้างอธิปไตยเหนือเกาะแห่งนี้
ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา รัฐบาลไต้หวันห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีด้านการสื่อสารและข้อมูลใดๆ ก็ตามที่เข้าข่าย “เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ”
DeepSeek ได้สร้างความตื่นตระหนกต่อนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทสัปดาห์นี้ด้วยแชตบอตอันทรงพลังที่เชื่อกันว่ามีประสิทธิภาพไม่ด้อยไปกว่าโมเดลเอไอจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ แต่ใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่ากันหลายเท่า
ความสำเร็จของสตาร์ทอัปจีนรายนี้เกิดขึ้นทั้งๆ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามกีดกันทุกทางไม่ให้จีนเข้าถึงชิประดับก้าวหน้าที่ใช้เป็นขุมพลังให้โมเดลเอไอ
หน่วยงานกำกับข้อมูลในเกาหลีใต้และไอร์แลนด์เตรียมที่จะขอให้ DeepSeek ต้องชี้แจงว่าจัดการข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานอย่างไร ขณะที่รัฐบาลอิตาลีก็ได้เปิดการสอบสวนโมเดล R1 พร้อมทั้งสั่งบล็อกไม่ให้เข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ในอิตาลีแล้ว
ที่มา : เอเอฟพี