รมว.กลาโหมสหรัฐฯ แถลงยอมรับตรงๆ การชนกันกลางอากาศในคืนวันพุธที่ 29 มกราคม 2025 ระหว่างเครื่องบินโดยสารกับเฮลิคอปเตอร์ทหาร ซึ่งออกปฏิบัติภารกิจฝึกฝนการบินตามตารางปกตินั้น ฝ่าย ฮ.ทหารเป็นตัวต้นเหตุหายนะกลางเวิ้งฟ้า หลังสร้างความผิดพลาดสำคัญในระหว่างปฏิบัติการ
และก่อนหน้านั้นหลายชั่วโมง รมว.คมนาคม ประกาศชัดเจนฝ่ายแบล็กฮอว์กทราบว่ามีเครื่องบินอยู่ในพื้นที่ตรงนั้น MSNBC รายงานด้วยคลิปข่าวที่บันทึกกันในพื้นที่ท่าอากาศยานแห่งชาติเรแกน
“ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ครับ เราจะตรวจสอบลงไปถึงก้นบึ้งของเรื่องนี้” พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในระหว่างการแถลงข่าว ณ ทำเนียบขาวในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2025 ซีเอ็นเอ็นรายงาน
เฮลิคอปเตอร์พร้อมทหาร 3 นาย ซึ่งชนกับเครื่องบินของอเมริกันแอร์ไลน์ อยู่ระหว่างการฝึกฝนประจำปีที่เป็นเทรนนิ่งการบินยามกลางคืนบนช่องทางบินมาตรฐาน รมว.พีท เฮกเซธ แถลงอย่างนั้นที่ทำเนียบขาว และกล่าวด้วยว่า
“ทหารทีมนี้ทำสิ่งที่มีอันตรายสูง แต่มันเป็นไปตามกิจวัตรปกติบนพื้นฐานที่ทำกันเสมอมา ทว่า เป็นที่น่าสลดใจ เมื่อคืนนี้ มีความผิดพลาดเกิดขึ้น” ซีเอ็นเอ็นรายงานคำแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ
“มันมี... ประเด็นเกี่ยวกับการยกระดับเพดานบินเกิดขึ้น ซึ่งเราเริ่มไต่สวนโดยทันทีแล้วทั้งในระดับกระทรวงกลาโหมและในกองทัพบก” รมว.กลาโหมกล่าวอย่างระมัดระวังถ้อยคำ
รมว.เฮกเซธมิได้เปิดเผยชื่อหรือข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับนายทหาร 3 รายที่ปฏิบัติการในแบล็กฮอว์กมรณะ นอกจากที่กล่าวว่าทั้งสามนายมาจากกองพันการบินทหารบกที่ 12 เท่านั้น
ก่อนหน้านั้นหลายชั่วโมง รมว.ฌอน ดัฟฟี แห่งกระทรวงคมนาคม ประกาศชัดเจนฝ่ายแบล็กฮอว์กทราบว่ามีเครื่องบินอยู่ในพื้นที่ตรงนั้น
“ผมขอบอกว่าการสื่อสารที่ดำเนินการกัน เป็นไปตามมาตรฐานปกติ ไม่มีปัญหาระบบเสียหาย การสื่อสารระหว่างอากาศยานกับหอบังคับการบินเป็นไปตามมาตรฐาน” ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแถลงต่อสื่อมวลชนในพื้นที่ท่าอากาศยานแห่งชาติเรแกน ในตอนหนึ่งของการสรุปข้อมูลโศกนาฏกรรมใกล้กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกาเมื่อช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2025 ซึ่งมีการถ่ายทอดออกทางช่อง MSNBC
“ผมขอบอกด้วยว่าฝ่ายเฮลิคอปเตอร์ทราบว่ามีเครื่องบินเดินทางอยู่ในบริเวณนั้น
“เราจะรอข้อมูลที่จะเข้ามาทั้งหมด แต่.. เท่าที่ผมได้เห็นนับถึงปัจจุบันนี้ ถ้าถามว่าผมคิดว่าเรื่องนี้ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ได้อย่างแน่นอนครับ” ซึ่งเป็นความเห็นที่สอดคล้องกับคอมเมนต์บนโซเชียลมีเดียของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าการชนกันกลางอากาศครั้งร้ายแรงนี้เป็นอะไรที่สามารถป้องกันได้
พร้อมนี้ รัฐมนตรีดัฟฟีกล่าวด้วยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ซึ่งฟ้ากระจ่าง เฮลิคอปเตอร์ปฏิบัติการตามรูปแบบมาตรฐาน เครื่องอเมริกันแอร์ไลน์เคลื่อนเข้ามาลงจอดตามรูปแบบมาตรฐาน สภาพการณ์โดยรวมไม่มีอะไรที่ไม่ปกติ
ข้อมูลจากบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงทั้งสองรายข้างต้น ยิ่งเร่งกระพือคำถามของสาธารณชนว่า ในเมื่ออากาศยานของอเมริกันแอร์ไลนส์มีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดในด้านการหลีกเลี่ยงการชนกันกลางอากาศ และในเมื่อแบล็กฮอว์กเป็นเฮลิคอปเตอร์ทหารที่มีสุดยอดเทคโนโลยีการเคลื่อนตัวกลางอากาศ ความผิดพลาดอันยับเยินกลางเวหาครั้งนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร
สถานีโทรทัศน์ออนไลน์ค่ายทูเดย์ TODAY.com เชิญนักบินเกษียณอายุของอเมริกันแอร์ไลนส์ นามว่ากัปตันเลส โอบอง ผู้เคยบินเข้า-ออกท่าอากาศยานแห่งชาติเรแกนนับครั้งไม่ถ้วน มาให้ความเห็น
สิ่งที่กัปตันเลส โอบอง บอกคือเป็นเรื่องปกติมากที่บริเวณเวิ้งฟ้าทางเข้า-ออก ท่าอากาศยานแห่งชาติเรแกน จะขวักไขว่ด้วยเครื่องบินโดยสาร และเฮลิคอปเตอร์ทหาร แสงไฟจากอากาศยานจะว้อบแว้บตรงนั้นตรงนี้ตลอดคืน โดยหอบังคับการบินก็รับมือภาระงานทั้งปวงมาได้โดยตลอด
แต่กัปตันเลส โอบอง พูดอย่างไม่อ้อมค้อม ซึ่งตรงใจใครๆ นับไม่ถ้วน ว่า
“ทำไมเฮลิคอปเตอร์นี้ไปอยู่ในพื้นที่อากาศตรงนั้น”
ผู้โดยสาร 60 ชีวิต ตลอดจนลูกเรือ 4 ราย และเจ้าหน้าที่ทหารอเมริกัน 3 นาย น่าจะเสียชีวิตกันทั้งหมด ในสภาพการณ์ที่ตัวเครื่องบินฉีกกลางลำและจมลงลึกราว 10 เมตรในแม่น้ำโปโตแมค ซึ่งเย็นเยือกเกือบเป็นน้ำแข็ง ขณะที่เฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กก็จมในแม่น้ำเช่นกันในลักษณะหงายท้อง เดลิเมลออนไลน์รายงาน
โศกนาฏกรรมดังกล่าวเป็นผลจากหายนะอันดุเดือดกลางเวิ้งฟ้าเวลา 20.45 น. ซึ่งเครื่องบินของพีเอสเอ แอร์ไลนส์ (ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออเมริกันแอร์ไลนส์) เที่ยวบินที่ 5342 จากเมืองวิชิตา รัฐแคนซัส ลดระดับการบินเพื่อแลนดิงที่ท่าอากาศยานแห่งชาติเรแกน กรุงวอชิงตัน โดยได้รับอนุญาตจากหอควบคุมการจราจรทางอากาศให้ใช้รันเวย์ที่ 33
แต่ปรากฏว่าเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กในสังกัดของกองทัพบก ซึ่งบินมาตามลำน้ำโปโตแมคโดยมีการสื่อสารทางวิทยุกับหอควบคุมบังคับการเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า “เห็นเครื่องบินโดยสารหรือไม่ - เห็น” แต่ในเวลาครู่เดียวต่อมา แบล็กฮอว์กก็พุ่งเข้าชนกลางลำเรือของอเมริกันแอร์ไลนส์ กลายเป็นระเบิดลูกยักษ์สีส้มแดงแผดเผาดุเดือดกลางเวิ้งฟ้ากระจ่าง ทำให้ค่ำคืนที่ขวักไขว่ด้วยอากาศยานมากมายตกอยู่ในสภาวะแห่งมิคสัญญี แล้วระเบิดยักษ์ลูกนี้ก็ร่วงสู่สายน้ำ พร้อมกับส่งผลให้ยานพาหนะบนสะพานใกล้เคียงได้รับความเสียหาย มีผู้เสียชีวิตไปด้วยไม่น้อยกว่าสองราย
หน่วยกู้ภัยและรถฉุกเฉินมากมายจากหลากหลายพื้นที่ระดมกำลังกว่า 300 รายเข้าไปช่วยเหลือ โดยเบื้องต้นสามารถนำร่างผู้เคราะห์ร้ายที่กระเด็นออกจากภายในลำเรือและลอยอยู่บนผิวน้ำได้ 7 ราย ก่อนจะขึ้นวันใหม่ แต่ด้วยสภาพอากาศและน้ำของโปโตแมคเย็นจัดใกล้จุดเยือกแข็ง อีกทั้งยังมีลมกระโชกแรง การค้นหาจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งเป็นความเสี่ยงตายของทีมช่วยเหลือด้วย
จนถึงเวลาเที่ยงวันของพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม ทางการลงความเห็นว่าไม่สามารถมีผู้ใดรอดชีวิตได้ และจึงปรับโฟกัสของปฏิบัติการ จากการค้นหาผู้รอดชีวิต ไปเป็นการกอบกู้ร่างของเหยื่อแห่งหายนะ
ในการนี้ สามารถนำร่างไร้วิญญาณออกมาได้แล้วเพียง 29 ราย ซึ่งเดลิเมลออนไลน์ระบุว่าหนึ่งในนั้นเป็นศพของทหารจากแบล็กฮอว์ก
คอลัมน์ PLANET No.3
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: เดลิเมลออนไลน์ ซีเอ็นเอ็น ทูเดย์.คอม MSNBC)