วุฒิสภาสหรัฐฯ ให้การรับรอง พีท เฮกเซธ (Pete Hegseth) ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ คนใหม่ด้วยคะแนนเสียงเฉียดฉิวเมื่อวันศุกร์ (24 ม.ค.) นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่การเสนอชื่อ เฮกเซธ ถูกต่อต้านคัดค้านอย่างหนักจากฝ่ายเดโมแครต รวมถึงสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคน
เฮกเซธ ผ่านกระบวนการรับรองเก้าอี้บอสใหญ่เพนตากอน หลังจากที่สมาชิกวุฒิสภา 100 คนโหวตรับรองและคัดค้านด้วยคะแนน 50-50 กระทั่งรองประธานาธิบดี เจ. ดี. แวนซ์ ในฐานะประธานวุฒิสภาตัดสินใจผ่าทางตันด้วยการโหวตให้ เฮกเซธ เพิ่มอีก 1 เสียง กลายเป็น 51-50
ทั้งนี้ มี ส.ว.รีพับลิกัน 3 คน และ ส.ว.อิสระอีก 1 คนที่หันไปจับมือกับฝ่ายเดโมแครตในการโหวต “โน”
เฮกเซธ ซึ่งเป็นอดีตพิธีกรสำนักข่าว Fox News และอดีตทหารผ่านศึก ให้สัญญาว่าจะนำการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ทว่าภาวะผู้นำของเขาก็ถูกเพ่งเล็งอย่างหนักทั้งในแง่ของคุณสมบัติ การควบคุมอารมณ์ รวมไปถึงมุมมองเกี่ยวกับผู้หญิงที่รับใช้ชาติ
“เราไม่เคยมีรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมแบบ เฮกเซธ มาก่อน” เจเรมี ซูรี อาจารย์ด้านประวัติศาสตร์จาก University of Texas ในเมืองออสติน ระบุ
เฮกเซธ ถือเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ผู้นำมาซึ่งข้อถกเถียงมากที่สุด โดยที่ผ่านมาตำแหน่งนี้มักจะตกเป็นของบุคคลที่มีประสบการณ์บริหารองค์กรใหญ่ๆ มาแล้ว และได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากทั้ง 2 พรรคการเมือง
นี่ยังเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่กระบวนการรับรองแคนดิเดตรัฐมนตรีจำเป็นต้องใช้วิธีการ tie-break หรือการตัดสินผลเสมอ โดยบุคคลแรกที่ผ่านขั้นตอนเช่นนี้ก็คือ เบ็ตซี เดอวอส ซึ่งได้รับการเสนอชื่อโดย ทรัมป์ ให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการศึกษาสหรัฐฯ เมื่อปี 2017
ส.ว.รีพับลิกัน 3 คนที่โหวตไม่เห็นชอบตำแหน่งรัฐมนตรีของ เฮกเซธ ก็คือ ลิซา เมอร์โควสกี ซูซาน คอลลินส์ และมิตช์ แมคคอนเนลล์ โดย แมคคอนเนลล์ นั้นให้เหตุผลว่า เฮกเซธ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเขามีศักยภาพเพียงพอที่จะบริหารจัดการองค์กรที่ใหญ่และซับซ้อนอย่างกองทัพสหรัฐฯ
“แค่ความต้องการอยากจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลง (change agent) ไม่เพียงพอสำหรับการเข้ามารับตำแหน่งนี้” แมคคอนเนลล์ ระบุในถ้อยแถลง
ด้าน ส.ว. แจ็ค รีด จากพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกิจการทหารแห่งวุฒิสภา ประกาศจะจับจ้องดูการทำงานของ เฮกเซธ “เหมือนกับเหยี่ยว” และ “เรียกร้องการรับผิดชอบ” จากเขาด้วย
ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เฮกเซธ จะต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำทหารอเมริกัน 1.3 ล้านนาย และบุคลากรฝ่ายพลเรือนอีกเกือบ 1 ล้านคนที่ทำงานให้กองทัพสหรัฐฯ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยผ่านประสบการณ์บริการจัดการองค์กรที่มีคนแค่ 100 คน และเงินทุนสูงสุดเพียง 16 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
ที่มา : รอยเตอร์