ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี (23 ม.ค.) แสดงความประสงค์อยากพบปะกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อรับประกันการจบสงครามกับยูเครน และแสดงความปรารถนาทำงานมุ่งหน้าสู่การปรับลดอาวุธนิวเคลียร์
ในช่วงก่อนหน้าได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ทรัมป์ประกาศหลายครั้งว่าเขาจะหาทางบรรลุข้อตลงระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ตั้งแต่วันแรกที่ดำรงตำแหน่งหรือกระทั่งก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้คณะที่ปรึกษาของเขายอมรับแล้วว่ามันอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่าที่สงครามจะคลี่คลาย
"ผมหวังจริงๆ ว่าจะได้พบปะกับประธานาธิบดีปูตินอย่างเร็วที่สุด เพื่อทำให้สงครามยุติลง" ทรัมป์กล่าวในวันพฤหัสบดี (23 ม.ค.) ต่อเวทีสัมมนาเวิลด์ อีโคโนมิกฟอรัม ในเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผ่านวิดีโอลิงก์ หลังจากคืนสู่เก้าอี้ทำเนียบขาวในวันจันทร์ (20 ม.ค.) "และนี่ไม่ใช่จากมุมมองทางเศรษฐกิจหรืออื่นใด มันมาจากมุมมองของหลายล้านชีวิตที่ต้องสูญเสียไป มันคือการสังหารหมู่ และเราจำเป็นต้องหยุดสงครามอย่างแท้จริง"
ระหว่างแถลงที่ทำเนียบขาวในเวลาต่อมา ทรัมป์เน้นย้ำกับพวกผู้สื่อข่าวว่าเขาพร้อมพบปะกับปูติน อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อยุติสิ่งที่เขาเรียกว่าสงครามที่ไร้สาระ "จากสิ่งที่ผมได้ยิน ปูตินก็อยากพบผม และเราจะผละออกไปทันทีที่เราสามารถทำได้ ผมอยากพบปะกับเขาในทันที" ทรัมป์ระบุ "ทุกๆ วันที่เราไม่ได้พบเจอกัน มีทหารมากมายกำลังถูกสังหารในสมรภูมิรบ"
ทรัมป์ เผยต่อว่าประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน บอกกับเขาว่าพร้อมทำข้อตกลงยุติสงครามเช่นกัน
ทั้งนี้ ทรัมป์ บอกกับพวกผู้ฟังในเวทีที่เมืองดาวอส ว่าเวลานี้ความพยายามของสหรัฐฯ ในการหาทางรับประกันทางออกแห่งสันติ กำลังมีความหวัง แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ทรัมป์ขู่กำหนดมาตรการคว่ำบาตรระดับสูงเล่นงานรัสเซีย และรีดภาษีสินค้านำเข้าจากรัสเซีย หากว่ามอสโกไม่บรรลุข้อตกลง
นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังบอกกับพวกผู้ฟังในวันพฤหัสบดี (23 ม.ค.) ว่าเขาต้องการทำงานมุ่งหน้าสู่การปรับลดอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมระบุเขาคิดว่ารัสเซียและจีน อาจให้การสนับสนุนด้วยการปรับลดแสนยานุภาพอาวุธของตนเอง
"เราอยากเห็นปลอดนิวเคลียร์ และผมจะบอกกับคุณว่าประธานาธิบดีปูติน ก็ชื่นชอบมากต่อความคิดปรับลดนิวเคลียร์เช่นกัน และผมคิดว่าทั่วทั้งโลกจะทำตาม และจีนก็จะเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน" ทรัมป์ระบุ
ปูติน เคยขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการทำสงครามกับยูเครน ขณะเดียวกันเขายังสั่งยกระดับกองกำลังนิวเคลียร์ของรัสเซียให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น และปฏิเสธพูดคุยกับวอชิงตันในการหาข้อตกลงแทนที่สนธิสัญญา New START ข้อตกลงจำกัดอาวุธฉบับสุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย ซึ่งมีกำหนดหมดอายุในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2026
ในเดือนพฤศจิกายน พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เผยว่า ปูติน ยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่กำหนดไว้โดยสนธิสัญญาฉบับดังกล่าว แม้ในปี 2023 เขาประกาศระงับข้อตกลงนี้ ที่จำกัดรัสเซียและสหรัฐฯ ประจำการหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ได้ไม่เกินประเทศละ 1,550 หัวรบ และหัวรบสำหรับขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) เรือดำน้ำและเครื่องบินทิ้งระเบิด ไม่เกิน 700 หัวรบ
(ที่มา : รอยเตอร์)