xs
xsm
sm
md
lg

ปรากฏการณ์ ‘ผู้ลี้ภัยชาวติ๊กต็อก’ หลบหนีไปใช้แอป ‘เสี่ยวหงซู’ ท่ามกลาง‘สงครามเย็นดิจิตอล’ที่กำลังดุเดือดเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เจียน ซู


โลงศพบรรจุตุ๊กตาล้มลุกที่แต่งกายในชุดติ๊กต็อก ซึ่ง แซค เซจ นักเขียนการ์ตูนตลก ที่โพสต์คอนเทนต์ทางติ๊กต็อก นำมาตั้งเอาไว้ในสวนสาธารณะ วอชิงตัน สแควร์ พาร์ค ของนครนิวยอร์ก เมื่อวันเสาร์ที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

TikTok refugees flee to RedNote in intensifying digital cold war
by Jian Xu
17/01/2025

ยูสเซอร์สหรัฐฯพากันอพยพจาก ติ๊กต็อก ไปลี้ภัยที่แอป “เสี่ยงหงซู” หรือ “เรดโน้ต” ซึ่งก็เป็นแอปจีนอีกตัวหนึ่ง ปรากฏการณ์เช่นนี้กำลังถูกขนานนามกันในประเทศจีนว่า คือ “ขบวนการตื่นรู้ของโลกตะวันตก”

ติ๊กต็อก แพลตฟอร์มสื่อสังคมยักษ์ใหญ่กำลังเตรียมตัวที่จะปิด [1] แอปของตนในสหรัฐฯตั้งแต่วันอาทิตย์ (19 ม.ค.) นี้ –วันที่รัฐบัญญัติ [2] ฉบับซึ่งสั่งแบนแอปตัวนี้ ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามผ่านออกมาเป็นกฎหมายตั้งแต่ปีที่แล้ว จะเริ่มมีผลบังคับใช้

ยังมีโอกาสอยู่น้อยนิดที่อาจจะไม่เกิดพัฒนาการอย่างน่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ขึ้นมา ถ้าหากศาลสูงสุดสหรัฐฯยอมรับเหตุผลข้อโต้แย้งทางกฎหมายในนาทีสุดท้ายจาก ไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทจีนซึ่งเป็นเจ้าของติ๊กต็อก ที่ว่าการสั่งแบนเช่นนี้เป็นการขัดรัฐธรรมนูญ หรือไม่ทางไบต์แบนด์ก็จะต้องปล่อยมือจากการดำเนินงานของติ๊กต็อกในสหรัฐฯ
(หมายเหตุผู้แปล – ศาลสูงสุดสหรัฐฯออกคำตัดสินด้วยเสียงเอกฉันท์เมื่อวันศุกร์ที่ 17 ม.ค. ยกฟ้องของไบต์แดนซ์ และไบต์แดนซ์ ออกประกาศปิดการดำเนินการในสหรัฐฯแล้วตั้งแต่ตอนดึกวันเสาร์ที่ 18 ม.ค. ชั่วโมงเศษๆ ก่อนเข้าสู่วันใหม่ของวันเส้นตาย –วันอาทตย์ที่ 19 ม.ค. ดูรายละเอียดได้ที่รายงานอัปเดต ตอนท้ายของข้อเขียนชิ้นนี้)

แต่พวกยูสเซอร์ผู้เล่นติ๊กต็อกในสหรัฐฯที่มีจำนวนประมาณ 170 ล้านคน ไม่ได้มัวแต่รอคอยปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามยถากรรมหรอก มีผู้ซึ่งเรียกตนเอง [3] ว่า “ผู้ลี้ภัยชาวติ๊กต็อก” (TikTok refugees) จำนวนมาก เริ่มต้นหลบหนีไปอยู่กับเว็บไซต์โซเชียลมีเดียเจ้าอื่นๆ โดยระหว่างกระบวนการในการทำเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ลืมปล่อยมุกล้อเลียนข้อกล่าวหาของทางการสหรัฐฯที่ว่าติ๊กต็อกสร้างความกังวลใจในด้านความมั่นคงไปด้วย จนกระทั่ง แฮชแท็ก “Goodbye to my Chinese spy” (ลาก่อนสปายสายลับจีนของเรา) ฮิตติดเทรนด์ใหม่เทรนด์หนึ่ง [4] บนติ๊กต็อกทีเดียว

เว็บไซต์สื่อสังคมที่กลายเป็นทางเลือกใหม่ซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุดจากผู้ลี้ภัยชาวติ๊กต็อกทั้งหลาย ปรากฏว่าได้แก่ เสี่ยวหงซู (Xiaohongshu) [5] แอปสื่อสังคมภาษาจีน (ชื่อในภาษาจีนแปลว่า หนังสือสีแดงเล่มน้อย Little Red Book แต่ทางแอปนี้เองใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า RedNote) โดยเมื่อวันที่ 13 มกราคม แอปตัวนี้ผงาดขึ้นอันดับ 1 [6] ใน แอปเปิล แอป สโตร์ สหรัฐฯ (US Apple App Store) เมื่อสามารถดึงดูดยูสเซอร์รายใหม่ได้มากกว่า 700,000 ราย

การอพยพหลบภัยทางดิจิตอลของยูสเซอร์สื่อสังคมจำนวนมากๆ เช่นนี้ เป็นหลักหมายแสดงให้เห็นถึงระยะใหม่ในสงครามเย็นทางดิจิตอล [7] ที่ยังคงกำลังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องในเวลานี้ระหว่างสหรัฐฯกับจีน ทว่ายังคงมีคำถามอีกเป็นจำนวนมากในเรื่องที่ว่า เรดโน้ต –หรือแพลตฟอร์มทางเลือกเจ้าอื่นๆ –จะสามารถเป็นแหล่งลี้ภัยระยะยาวที่ใช้การได้จริงๆ สำหรับยูสเซอร์ติ๊กต็อกในสหรัฐฯหรือไม่ ถ้าหากมาตรการแบนนี้ยังคงถูกผลักดันให้เดินหน้าต่อไป

แอป เรดโน้ต มีความเป็นมาอย่างไร?

เรดโน้ต หรือ เสี่ยงหงซู เป็นแพลตฟอร์มภาษาจีนทางด้านไลฟ์สไตล์, สื่อสังคม, และอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งเจ้าของคือ บริษัทซิงอิ๋น อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี (Xingyin Information Technology) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2013 มันมีลักษณะสไตล์ลูกผสมระหว่างอินสตาแกรม (Instagram) เจอกับ พินอินเทอเรสต์ (Pinterest) โดยมีผู้ใช้ที่แอคทีฟประมาณเดือนละ 300 ล้านราย [8] ซึ่งส่วนข้างมากเลยเป็นผู้ที่อยู่ในประเทศจีน

เรดโน้ต จัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของยูสเซอร์ของตนเอาไว้ในประเทศจีน โดยยึดมั่นปฏิบัติตามตัวบทกฎหมายต่างๆ ทางด้านการปกป้องคุ้มครองข้อมูลและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของจีน ตลอดจนกฎระเบียบอื่นๆ ของแดนมังกร

ทว่า เรดโน้ต ก็ไม่ได้เป็นแพลตฟอร์มทางเลือกเพียงรายเดียวที่พวกยูสเซอร์กำลังอพยพไปขอพักพิง อีกรายหนึ่งคือ เลมอน8 (Lemon8) [9] ซึ่งก็เป็นของไบต์แดนซ์เช่นเดียวกับติ๊กต็อก โดยเรียกตัวเองว่าเป็น “ชุมชนไลฟ์สไตล์” เลมอน8 เปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อปี 2020 และในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สามารถครองอันดับ 2 แอปยอดนิยมใน แอปเปิล แอป สโตร์ –ตามหลัง เรดโน้ต แอปตัวนี้ยังอนุญาตให้ผู้ที่เป็นยูสเซอร์ของติ๊กต็อกอยู่แล้ว สามารถอพยพมาโดยนำเอาวิธีดำเนินการต่างๆ และข้อมูลทั้งหลายจากบัญชีติ๊กต็อกมาด้วยได้

เหมือนๆ กับติ๊กต็อก เลมอน8 ก็จัดเก็บข้อมูลของยูสเซอร์เอาไว้นอกประเทศจีน รวมทั้งเก็บไว้ในสหรัฐฯและสิงคโปร์ด้วย อย่างไรก็ดี ถ้ารัฐบาลสหรัฐฯแบนติ๊กต็อกจริงๆ แล้ว พวกเขาก็ย่อมสามารถใช้หลักเหตุผลอย่างเดียวกันมาแบนเลมอน8 ได้อย่างง่ายดาย

พวกแพลตฟอร์มท้องถิ่นที่ตั้งฐานอยู่ในสหรัฐฯซึ่งอาจจะกลายเป็นแพลตฟอร์มทางเลือกได้เหมือนกัน เป็นต้นว่า อิสสตาแกรม รีลส์ (Instagram Reels) และ ยูทูบ ชอร์ตส์ (YouTube Shorts) ปรากฏว่ากลับไม่ได้ถูกยูสเซอร์ติ๊กต็อกจำนวนมากมองว่าเป็นทางเลือกในอุดมคติแต่อย่างใด นี่เป็นเพราะว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้อยู่ในลักษณะเป็นมิตรกับครีเอเตอร์น้อยกว่า อีกทั้งขาดความสำนึกของการเป็นชุมชนอันแรงกล้า [10]

ยูสเซอร์จำนวนมากทีเดียวมองว่า เรดโน้ต คือหนทางเลือกที่ดีที่สุด เมื่อพิจารณาจากสไตล์คอนเทนต์ และอัลกอริธึม ที่คล้ายๆ กับของติ๊กต็อก รวมทั้งเสน่ห์ดึงดูดซึ่งมีแรงขับดันจากความเป็นชุมชนก็อยู่ในท่วงทำนองเดียวกัน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นอีกก็คือ แพลตฟอร์มนี้อยู่พ้นไปจากการควบคุมของรัฐบาลสหรัฐฯ และสหรัฐฯไม่สามารถสั่งแบนโดยตรงได้

ในเวลาที่เขียนข้อเขียนชิ้นนี้ ปรากฏว่าบนเรดโน้ต แฮชแท็ก “TikTok refugee” รวบรวมยอดการมองเห็นได้แล้วถึงราวๆ 250 ล้านวิว และมีผู้คอมเมนต์ออกความเห็นอีกกว่า 5.5 ล้านคอมเมนต์ [11] ยูสเซอร์สหรัฐฯบางรายอธิบายความเคลื่อนไหวของพวกเขาด้วยถ้อยคำประชดประชันและเสแสร้าง [12] บนแพลตฟอร์ม เรดโน้ต เอาไว้ดังนี้

“เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องที่ข้อมูลส่วนตัวของพวกเรากำลังถูกจีนแอบลักลอบเอาไว้ ดังนั้นขอให้พวกเราหันมาส่งมอบข้อมูลเหล่านี้แก่รัฐบาลจีนโดยตรงอย่างละมุนละม่อมกันเถิด หลังจากนี้แล้วพวกคุณยังจะมาคว้าเอามือถือของฉันไปอีกหรือเปล่าละ?”

“ขบวนการตื่นรู้ของโลกตะวันตก”

พวกยูสเซอร์ชาวจีนของ เรดโน้ต กำลังแสดงความยินดีต้อนรับผู้ลี้ภัยชาวติ๊กต็อกจากสหรัฐฯอย่างกระตือรือร้น

ตัวอย่างเช่น พวกเขากำลังผลิตวิดีโอติวเตอร์เพื่อสอนยูสเซอร์หน้าใหม่ถึงวิธีท่องไปในแอปตัวนี้ การต้อนรับด้วยความยินดีเช่นนี้สามารถประมวลเข้าด้วยกันด้วยคอมเมนต์ยอดนิยม [13] ความเห็นหนึ่งจากยูสเซอร์ชาวจีนของแพลตฟอร์มนี้ ที่กล่าวเอาไว้ว่า “เพื่อนมิตรที่มาจาก ติ๊กต็อก ฉันต้องการบอกว่า พวกคุณไม่ใช่ผู้ลีภัย พวกคุณคือนักสำรวจผู้กล้าหาญต่างหาก”

กระแสผู้อพยพใหม่เข้ามายัง เรดโน้ต ยังกลายเป็นการเพิ่มทวีความภาคภูมิใจในชาติให้แก่พวกยูเซอร์อินเทอร์เน็ตชาวจีนอีกด้วย

พวกเขาอ้างอิงอย่างมีชีวิตชีวาถึงการอพยพครั้งนี้ [14] ว่า มันคือ “ขบวนการตื่นรู้ของโลกตะวันตก” (Western awakening movement) ครั้งหนึ่ง ซึ่งเปิดทางให้เหล่าพลเมืองสหรัฐฯได้เปิดหูเปิดตาของพวกเขามองดูโลกที่อยู่นอกศูนย์กลางของฝ่ายตะวันตก

วลีนี้เป็นการขบคิดผูกคำขึ้นมา โดยมุ่งอ้างอิงไปถึง “ขบวนการสร้างเสริมความเข้มแข็งของตนเอง”( self-strengthening movement) [15] ในประเทศจีนเมื่อช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นความพยายามดำเนินการปฏิรูปด้านต่างๆ ที่มีจุดมุ่งหมายสร้างประเทศจีนแห่งความทันสมัยขึ้นมา ด้วยการนำเอาพวกเทคโนโลยี, ความรู้, และค่านิยมต่างๆ ของฝ่ายตะวันตกมาประยุกต์ใช้

กระแสการอพยพที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้คาดหมายกันมาก่อนนี้ ยังทำให้ได้เห็นพวกหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ เรดโน้ต บางตัว พุ่งแรงพรวดพราดไปถึงราว 20% [16] ทีเดียวในช่วงต้นๆ ของสัปดาห์ที่ผ่านมา

การทูตระดับจากประชาชนสู่ประชาชน

การมีปฏิสัมพันธ์กันในทางบวกระหว่างยูสเซอร์อินเทอร์เน็ตชาวอเมริกันและชาวจีนเช่นนี้ ช่วยส่งเสริมแนวความคิดว่าด้วย “การทูตจากประชาชนสู่ประชาชน (people-to-people diplomacy) ที่เสนอออกมาโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไอเดียนี้ได้รับการรวบรวมสรุปเอาไว้ได้อย่างดีที่สุดโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เมื่อเขากล่าวในเดือนกรกฎาคม 2024 ดังนี้ “ความหวังของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯนั้น มีพื้นฐานขึ้นอยู่กับประชาชน, รากฐานของมันอยู่ที่สังคมของทั้งสองฝ่าย, อนาคตของมันขึ้นอยู่กับเยาวชน, และความมีชีวิตชีวาของมันมาจากการติดต่อแลกเปลี่ยนกันในระดับต่างๆ ที่อยู่ต่ำลงมาจากระดับชาติ

อย่างไรก็ดี เรดโน้ตอาจจะไม่ใช่เป็นแหล่งหลบภัยที่พึ่งพาอาศัยได้เป็นระยะเวลายาวนานสำหรับพวกยูเซอร์ติ๊กต็อกสหรัฐฯ

การอพยพอย่างฉับพลันไปยัง เรดโน้ต ของพวกเขา อาจจะอยู่ในลักษณะเหมือนกับการประท้วงแบบแฟลชม็อบ (flash mob) ที่มีฝูงชนมารวมตัวกันอย่างฉับพลันรวดเร็ว เพื่อมุ่งแสดงออกถึงการต่อต้านคัดค้านการแบนติ๊กต็อก เสียมากกว่า จากนั้นฝูงชนเหล่านี้ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสำหรับพวกเขาที่จะเกิดความคุ้นเคยกับระบบนิเวศดิจิตอลที่มีความผิดแผกแตกต่างออกไปเป็นอย่างมาก –และตัดสินใจที่จะพำนักอาศัยอยู่อย่างถาวรบนแอปจีนตัวนี้

เรดโน้ต ได้โพสต์แจ้งรับสมัครงาน [17] เรียบร้อยแล้ว เพื่อเร่งระดมหาพวกพิธีกรผู้แนะนำด้านคอนเทนต์ (content moderators) ที่เข้าใจภาษาอังกฤษ มารับมือกับการเติบโตขยายตัวอย่างรวดเร็วน่าตื่นตาตื่นใจของยูสเซอร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษของตนเช่นนี้

นอกจากนั้น อีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีคุณค่าสมควรแก่การตั้งข้อสังเกตเอาไว้ ก็คือว่า การอพยพมายัง เรดโน้ต นี้ ถึงอย่างไรก็ยังคงมีขนาดเล็กมาก แลเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของผู้คน 170 ล้านคนในสหรัฐฯที่เล่นติ๊กต็อกกันอยู่

ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลสหรัฐฯยังมีอำนาจที่จะกดดัน แอปเปิล ให้ถอน เรดโน้ต ออกจาก ยูเอส แอป สโตร์ ถ้าหากพวกเขาคิดว่าการอพยพโยกย้ายนี้กำลังกลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติขึ้นมา

แต่ไม่ว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นมาหรือไม่ การที่เกิดผู้ลี้ภัยชาวติ๊กต็อกอพยพไปหา เรดโน้ต กันเป็นจำนวนมากๆ เช่นนี้ –แม้กระทั่งว่ามันจะเป็นเพียงการอพยพชั่วคราวก็ตามที – ก็แสดงให้เห็นอยู่ดีว่า การออกกฎเกณฑ์มุ่งจัดระเบียบพวกเทคโนโลยีดิจิตอลของสหรัฐฯ โดยมีแรงขับดันจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์นั้น ได้ส่งผลทำให้อินเทอเน็ตระดับโลกเกิดการแตกแยกร้าวฉานอย่างสำคัญขึ้นมาแล้ว

ยังโชคดีที่เราได้เป็นประจักษ์พยานมองเห็นถึงจิตวิญญาณแห่งการมองโลกในแง่ดีและลัทธิมนุษยธรรมในหมู่ยูสเซอร์ชาวสหรัฐฯและชาวจีน ในท่ามกลางความตึงเครียดของสงครามเย็นทางดิจิตอลคราวนี้

เจียน ซู เป็นรองศาสตราจารย์ในด้านการสื่อสาร มหาวิทยาลัยเดียคิน (Deakin University) รัฐวิกตอเรีย, ออสเตรเลีย

ข้อเขียนนี้มาจากเว็บไซต์ เดอะ คอนเวอร์เซชั่น https://theconversation.com/ โดยสามารถติดตามอ่านข้อเขียนดั้งเดิมชิ้นนี้ได้ที่ https://theconversation.com/us-tiktok-refugees-are-fleeing-to-chinese-app-rednote-its-a-new-phase-of-the-digital-cold-war-247342

เชิงอรรถ
[1] https://www.reuters.com/technology/tiktok-preparing-us-shut-off-sunday-information-reports-2025-01-15/
[2] https://edition.cnn.com/2024/04/23/tech/congress-tiktok-ban-what-next/index.html
[3]https://www.tiktok.com/@also.steph/video/7459520445495168278?q=tiktok%20refugee&t=1736984427635
[4]https://www.theverge.com/2025/1/13/24343063/tiktok-ban-goodbye-chinese-spy-trend
[5] https://www.xiaohongshu.com/explore
[6] https://www.reuters.com/technology/over-half-million-tiktok-refugees-flock-chinas-rednote-2025-01-14/
[7] https://www.reuters.com/technology/us-china-tech-war-seen-heating-up-regardless-whether-trump-or-harris-wins-2024-10-23/
[8] https://www.scientificamerican.com/article/u-s-tiktok-users-flock-to-rednote-as-ban-looms/
[9] https://www.lemon8-app.com/feed/foryou?region=us
[10] https://www.castmagic.io/post/tiktok-vs-reels-vs-shorts
[11] https://edition.cnn.com/2025/01/14/tech/rednote-china-popularity-us-tiktok-ban-intl-hnk/index.html
[12] https://www.guancha.cn/industry-science/2025_01_14_762012.shtml
[13]https://www.globaltimes.cn/page/202501/1326866.shtml
[14]https://www.163.com/dy/article/JLV0R4AL055647HN.html
[15]https://www.oxfordreference.com/display/10.1093/oi/authority.20110803100453486
[16] https://www.reuters.com/technology/over-half-million-tiktok-refugees-flock-chinas-rednote-2025-01-14/
[17] https://finance.sina.com.cn/tech/roll/2025-01-15/doc-ineezwyz7189312.shtml

ภาพถ่ายจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย, สหรัฐฯ เมื่อตอนดึกวันเสาร์ (18 ม.ค.) แสดงให้เห็นข้อความที่ปรากฏในแอปติ๊กต็อก แจ้งให้ทราบว่าติ๊กต็อกไม่สามารถให้บริการได้ในขณะนี้
ข่าวอัปเดต

ติ๊กต็อก‘จอดำ’ประกาศหยุดให้บริการในสหรัฐฯแล้ว ขณะ‘ทรัมป์’หยอดคำหวาน สัญญาจะต่อเวลาให้90วันเมื่อตนรับตำแหน่งวันจันทร์
โดย สำนักข่าวรอยเตอร์

TikTok stops working for US users, disappears from Apple, Google stores
By Reuters
19/012025

ติ๊กต็อก หยุดการดำเนินงานในอเมริกาตั้งแต่ตอนดึกวันเสาร์ (18 ม.ค.) และหายไปจากแอปสโตร์ของ แอปเปิล และ กูเกิล ก่อนหน้าที่กฎหมายสหรัฐฯฉบับซึ่งกำหนดให้ปิดแอปยอดนิยมตัวนี้ที่มียูสเซอร์ชาวอเมริกันเล่นกัน 170 ล้านคน มีผลบังคับอย่างเป็นทางการในวันอาทิตย์ (19)

ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรนัมป์ พูดเอาไว้ก่อนหน้านั้นของวันเดียวกันว่า “มีความเป็นไปได้มากที่สุด” ที่เขาจะเลื่อนการแบนติ๊กต็อกออกไป 90 วัน หลังจากเขาสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งในวันจันทร์ (20) โดยที่ทางติ๊กต็อกก็ได้นำเอาคำสัญญานี้มาอ้างอิงไว้ในประกาศที่โพสต์ถึงยูสเซอร์ในสหรัฐฯบนแอปของตนด้วย

ติ๊กต็อก ซึ่งมี ไบต์แดนซ์ บริษัทจีนเป็นเจ้าของ แจ้งกับพวกยูสเซอร์ที่กำลังพยายามใช้ใช้แอปตัวนี้ เมื่อประมาณ 22.45 น. ตามเวลาทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ (10.45 p.m. ET ตรงกับ 10.45 น. วันอาทิตย์ที่ 19 ม.ค. ตามเวลาเมืองไทย) ในประกาศฉบับดังกล่าวว่า “กฎหมายที่กำลังสั่งแบนติ๊กต็อก มีผลบังคับในสหรัฐฯแล้ว โชคร้ายที่ว่า นี่หมายความว่าคุณจะไม่สามารถใช้ติ๊กต็อกได้ในขณะนี้ เราโชคดีที่ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงท่าทีว่าเขาจะทำงานกับเราในเรื่องหนทางแก้ไขเพื่อนำติ๊กต็อกกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาเข้ารับตำแหน่ง โปรดรอติดตามข่าวต่อไป”

แอปตัวอื่นๆ ที่เป็นของไบต์แดนซ์ รวมทั้ง แคปคัต (Capcut) แอปสำหรับการตัดต่อวิดีโอ และ เลมอน8 (Lemon8) แอปโซเชียลไลฟ์สไตล์ ก็ถูกอออฟไลน์ ตลอดจนไม่สามารถดาวน์โหลดได้จากพวกแอปสโตร์สหรัฐฯด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ตอนดึกวันเสาร์

“การยืดเวลาออกไป 90 วัน มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะมีการดำเนินการ เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม” ทรัมป์ กล่าวเช่นนี้กับเครือข่ายทีวี เอ็นบีซี “ถ้าผมตัดสินใจที่จะทำอย่างนั้น ผมก็อาจจะประกาศออกมาในวันจันทร์”

ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ยังมียูสเซอร์สหรัฐฯคนไหนหรือไม่ที่ยังสามารถเข้าถึงแอปตัวนี้ แต่สำหรับยูสเซอร์จำนวนมากแล้ว แอปตัวนี้อยู่ในสภาพไม่ทำงานอีกต่อไปแล้ว และผู้ที่พยายามเข้าถึงมันโดยผ่านแอปพลิคั่นทางเว็บ ก็จะพบกับป็อปอัพข้อความอย่างเดียวกันที่ระบุว่า ติ๊กต็อกใช้งานไม่ได้แล้ว

ติ๊กต็อก ซึ่งมีมนตร์เสน่ห์ดึงดูดให้ชาวอเมริกันเกือบๆ ครึ่งหนึ่งเข้ามาใช้ อีกทั้งให้พลังแก่พวกธุรกิจขนาดเล็กๆ ตลอดจนมีบทบาทสูงในการก่อรูปปรับโฉมวัฒนธรรมออนไลน์ ออกมาเตือนตั้งแต่วันศุกร์ (17) ว่าจะต้องหยุดให้บริการในสหรัฐฯตั้งแต่วันอาทิตย์ หากคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่ให้คำมั่นแก่พวกบริษัทต่างๆ อย่างเช่น แอปเปิล และ กูเกิล ว่า พวกเขาจะไม่ต้องประสบกับการปฏิบัติการเพื่อการบังคับใช้กฎหมาย เมื่อคำสั่งแบนมีผลบังคับ

ตามกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาและประธานาบดีไบเดนลงนามรับรองตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว และได้รับการวินิจฉัยตัดสินว่ากฎหมายนี้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญด้วยเสียงเอกฉันท์จากคณะตุลาการศาลสูงสุดสหรัฐฯในวันศุกร์ (17) แพลตฟอร์มสื่อสังคมเน้นคลิปวิดีโอสั้นนี้ มีเวลาจนถึงวันอาทิตย์ เพื่อตัดความผูกพันที่มีอยู่กับ ไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ซึ่งตั้งฐานอยู่ในจีน หรือไม่ก็ต้องปิดการดำเนินงานในสหรัฐฯของตน เพื่อแก้ไขคลี่คลายความห่วงกังวลที่ว่า ติ๊กต็อกเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ

ทำเนียบขาวออกมาเน้นย้ำในวันเสาร์ (18) ว่าต้องขึ้นอยู่กับคณะบริหารที่กำลังจะเข้ามารับตำแหน่ง ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

“เรามองไม่เห็นเหตุผลใดๆ เลยสำหรับการที่ ติ๊กต็อก หรือบริษัทอื่นๆ จะดำเนินการอะไรในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า ก่อนที่คณะบริหารทรัมป์จะเข้าดำรงตำแหน่งในวันจันทร์” คารีน ฌอง-ปีแอร์ เลขานุการฝ่ายสื่อของทำเนียบขาว ระบุเช่นนี้ในคำแถลง

ติ๊กต็อก ไม่ได้ตอบสนองใดๆ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวสอบถามขอความคิดเห็นเกี่ยวกับคำแถลงฉบับล่าสุดนี้จากทำเนียบขาว

ทางด้านสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำวอชิงตัน ออกมาแถลงตั้งแต่วันศุกร์ กล่าวหาสหรัฐฯว่ากำลังใช้อำนาจรัฐอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อกำราบปราบปรามติ๊กต็อก พร้อมกับบอกว่า “จีนจะใช้มาตรการที่จำเป็นทุกอย่างเพื่อคุ้มครองปกป้องอย่างเด็ดเดี่ยวซึ่งสิทธิและผลประโยชน์อันถูกต้องตามกฎหมายของตน” โฆษกของสถานเอกอัครราชทูตระบุ
กำลังโหลดความคิดเห็น