xs
xsm
sm
md
lg

บลูมเบิร์กชี้ “อันวาร์” เห็นโอกาสทองจากเครือข่ายทักษิณที่มีอยู่ทั่ว หลังหารือวาระภูมิภาค-เศรษฐกิจ-เทคโนโลยี เป็นประโยชน์ ASEAN วิตก BRICS ทำให้วางตัวไม่เป็นกลาง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม แถลงยืนยันผลการหารือระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นที่น่ายินดี เป็นการหารือประเด็นสำคัญในภูมิภาค เศรษฐกิจ เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการสร้างสันติภาพในภาคใต้ของไทย สื่อสหรัฐฯ ตั้งข้อสงสัย การวางตัวเป็นกลางของ ASEAN ภายใต้การนำของอันวาร์

บลูมเบิร์กรายงานวันนี้ (27 ธ.ค.) ว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม เปิดใจเชื่อ ความเจนจัดของอดีตผู้นำไทย ทักษิณ ชินวัตร ที่มีเครือข่ายกว้างขวางไปทั่วภูมิภาคจะเป็นประโยชน์ต่อ 'มาเลเซีย' ที่กำลังจะนั่งในตำแหน่งประธานอาเซียนแบบหมุนเวียนคนใหม่ในปี 2025

และเสริมว่า ผู้นำทั้งสองพบกันในวันพฤหัสบดี (26) โดยบลูมเบิร์กกล่าวว่า ประเด็นการหารือประกอบไปด้วยประเด็นสำคัญของภูมิภาค รวมไปถึงการเสริมสร้างสันติภาพในภาคใต้ของไทยและต่อวิกฤตพม่า

“เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเทียบเคียงของคุณทักษิณไปทั่วทั้งภูมิภาคพร้อมไปด้วยความเชี่ยวชาญที่พิเศษที่โดดเด่นของเขานั้นเป็นเสมือนการสัญญาต่อโอกาสที่มีคุณค่ามหาศาลสำหรับทั้งมาเลเซียและอาเซียน เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายด้วยความเชื่อมั่นและความสามารถที่มากขึ้น”
 รายงานจากแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียจากเฟซบุ๊กวันพฤหัสบดี (26)

บลูมเบิร์กรายงานว่า อันวาร์ซึ่งเรียกอดีตนายกฯ ไทยว่า "เพื่อนรัก" ไม่ดูเหมือนว่าเขาจะมีความรู้สึกวิตกต่อปัญหาทางกฎหมายและการเมืองในไทยที่รุมล้อมอดีตผู้นำไทยที่ต้องลี้ภัยทางการเมืองนาน 15 ปีจากการโดนทำรัฐประหาร เขามีประวัติทำความผิดคอร์รัปชันและสามารถรอมชอมกับทหารได้ก่อนได้รับพระราชทานอภัยโทษในเวลาต่อมา

และหลังจากที่นายกฯ อันวาแต่งตั้งทักษิณเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนในฐานะหนึ่งในที่ปรึกษาส่วนตัวในการนั่งทำหน้าที่เป็นประธานอาเซียนครั้งแรกกลับพบกับเสียงวิจารณ์จากทั้งในไทยและในมาเลเซีย และรวมไปสื่อนอกเช่น รอยเตอร์

มีการหยิบยกการเปรียบเทียบให้เห็นเหมือนเมื่อครั้งการได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและความสัมพันธ์กับฮุนเซน ย้อนให้นึกถึงครั้งที่ ทักษิณ ได้รับการแต่งตั้งจากฮุนเซน ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา แต่หลังจากนั้นไม่นานทักษิณประกาศลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างของฝ่ายตรงข้ามเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากกัมพูชามีข้อพิพาททางทะเลกับไทยในเรื่องเกาะกูด

ขณะที่ฝ่ายค้านมาเลเซียเองออกมาถามอาเซียนจะได้ประโยชน์จริงหรือและจะเสริมภาพลักษณ์ของอันวาร์ได้อย่างไร ซัดตั้งคนที่ถูกพิพากษาจำคุกฐานใช้อำนาจโดยมิชอบ ทำไมไม่ตั้งนักการทูตหรือนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศ ด้าน "ดร.มหาเธร์" งง ทำไมเลือกทักษิณ ทั้งที่มีคนอื่นมากมาย

แต่ทว่าในเวลานั้นรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย โมฮัมมัด ฮาซาน ตามการรายงานของสำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซียในวันที่ 16 ธ.ค. ว่า

"ทักษิณ มีอิทธิพลในไทย ได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯ และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน เขามีสถานะในฐานะสะพานเชื่อมสำหรับอาเซียน (เพื่อหล่อหลอมความสัมพันธ์)"

สตาร์นิวส์ของมาเลเซียรายงานวันศุกร์ (27) ว่า ผู้นำแดนเสือเหลืองได้กล่าวถึงการประชุมกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่ปัจจุบันบุตรสาว แพทองธาร ชินวัตร นั้นกำลังดำรงตำแหน่งนายกฯ ว่า 

การหารือ “เป็นที่น่ายินดี” และการหารือที่บังเกิดผลและเป็นการหารือเป็นวงกว้างและมีความเกี่ยวพัน”

สื่อมาเลเซียยังกล่าวว่า ในการประชุมยังหารือถึงความสามารถของตำแหน่งในฐานะที่ปรึกษาของเขาและการสร้างความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่าง 2 ชาติให้มีความใกล้ชิดเพิ่มมากขึ้น

ซึ่งการพบกันระหว่าง 2 ผู้นำมาเลเซีย-ไทยนี้เป็นที่จับตาเป็นวงกว้างโดยเฉพาะจากโลกตะวันตก เกิดขึ้นหลังสื่อ TASS ของรัสเซียรายงานวันพุธ (25) เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยได้ตอบรับการเป็นประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS (BRICS partner country) ซึ่งเป็นก้าวที่จะนำไปสู่การเป็นสมาชิกเต็มตัวในอนาคต

กลายเป็นคำถามให้ผู้เชี่ยวชาญว่า กลุ่มอาเซียน 10 ชาติซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1967 นี้จะยังคงวางตัวเป็นกลางอย่างไรในเมื่อ 3 ชาติจากทั้งหมดได้แก่ มาเลเซีย ซึ่งกำลังจะเป็นประธานอาเซียน รวมไทย ที่มีอดีตนายกฯ นั่งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของประธานอาเซียน และอินโดนีเซียนั้นกำลังจะเป็นหุ้นส่วนกับรัสเซีย-จีนผ่านกลุ่ม BRICS

เรดิโอฟรีเอเชียของสหรัฐฯ รายงานวันจันทร์ (23) ว่า Hazree Mohd Turee ผู้อำนวยการบริหารบริษัทที่ปรึกษา Bower Group Asia แสดงความเห็นว่า การที่มี 3 ชาติร่วมอยู่ใน BRICS ของรัสเซีย-จีนอาจทำให้มีการเข้าใจว่ากลุ่มอาเซียนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้กำลังเลือกข้าง

“ถึงแม้ว่า อันวาร์จะพูดถึงการวางตัวเป็นกลาง แต่ทว่าสิ่งที่รู้สึกได้นั้นเป็นอีกอย่าง” Hazree ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว BenarNews

พร้อมเสริมว่า “ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์และฟิลิปปินส์ (สมาชิกอาเซียน) นั้นมีความสัมพันธ์แข็งแกร่งกับสหรัฐฯ...และอาจมองว่ามันเป็นสิ่งที่น่าอึดอัด”

เรดิโอฟรีเอเชียรายงานว่า ขณะที่ เอลินอร์ นูร์ (Elina Noor) นักวิจัยอาวุโสประจำธิงแทงก์ชื่อดังของหรัฐฯ Carnegie Endowment for International Peace แสดงความเห็นว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซียบ่งชี้ว่า "เขาตั้งใจต้องการให้อาเซียนปลดแอกและกลายเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระและไม่โดนลากไปในทิศทางหนึ่งทิศทางใดท่ามกลางชาติมหาอำนาจ

แต่ทว่าดูเหมือนอันวาร์จะโน้มเอียงเข้าหาจีนและรัสเซียเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และเขาได้ย้ำว่า อาเซียนต้องร่วมมือในโลกหลายขั้ว"

ทั้งนี้ ทฤษฎีโลกหลายขั้วเป็นทฤษฎีที่รัสเซียและจีนตั้งขึ้นเพื่อสลายขั้วโลกเดิมที่มีสหรัฐฯ และตะวันตกเป็นผู้นำ

สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า นักวิเคระห์ต่างชี้ว่า ในฐานะเป็นประธานอาเซียน อันวาร์และมาเลเซียจะผงาดบนเวทีโลกในฐานะชาติมหาอำนาจตัวกลาง (middle power) โดยในการจำกัดความที่หมายถึงประเทศที่ยังไม่มีอิทธิพลโดดเด่นในฐานะชาติมหาอำนาจโลก เช่น สหรัฐฯ จีน รัสเซีย แต่ถูกพิจารณาว่ามีอิทธิพลในความสัมพันธ์ระหว่างระหว่างประเทศ

การทูตของนายกฯ อันวาร์รวมถึงการไปเยือนอเมริกาใต้เพื่อประชุมเอเปกและการประชุม G-20 สะท้อนถึงการสร้างที่ยืนของมาเลเซียและเขาบนเวทีโลกและแผนสำหรับการนำอาเซียนในปี 2025

เรดิโอฟรีเอเชียชี้ว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มักจะย้ำเสมอในการให้สำคัญต่ออาเซียนและกลไกของอาเซียนต่อเป้าหมายในการทำให้มีความเหมาะสมมากขึ้นสำหรับความพยายามอย่างเคลื่อนไหวภายในโลกขั้วใต้ (Global South) ซึ่งโลกขั้วใต้นี้ปักกิ่งได้ประกาศแสดงความเป็นผู้นำ

และเป็นสมือนสิ่งสำคัญสำหรับผู้นำแดนเสือเหลืองที่ต้องทำให้มั่นใจว่า กลุ่มอาเซียนจะไม่เพียงแต่เป็นกลาง แต่ต้องถูกมองให้เป็นเช่นนั้นด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Matthijs van den Broek แสดงความเห็น

และเสริมว่า ในขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาข่มขู่ว่าจะตั้งกำแพงภาษีสูงลิ่วต่อประเทศใดๆ ที่เขาเชื่อว่ากำลังเป็นศัตรูกับดอลลาร์สหรัฐ หลังกลุ่ม BRICS วางแผนจะตั้งสกุลเงินใหม่ของตัวเอง

“ทั้งจีนและสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการซื้อขายต่างชาติระดับต้นและเป็นพันธมิตรทางการลงทุน ดังนั้นแล้ว..มาเลเซียในฐานะประธานต้องเพิ่มความสามารถทางการทูตของตัวเองเพื่อไม่ให้มีการทำให้รู้สึกทอดทิ้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”


กำลังโหลดความคิดเห็น