อัยการอาชญากรรมสงครามระหว่างประเทศคนหนึ่งเผยเมื่อวันอังคาร (17 ธ.ค.) ว่า หลักฐานที่ได้จาก “หลุมฝังศพหมู่” ในซีเรียแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนของ “เครื่องจักรสังหาร” ภายใต้ระบอบ บาชาร์ อัล-อัสซาด ที่ประเมินกันว่าน่าจะมีผู้คนที่ถูกทรมานและสังหารไปมากกว่า 100,000 คนตั้งแต่ปี 2013
สตีเฟน แรปป์ อดีตผู้แทนด้านอาชญากรรมสงครามของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์หลังเดินทางไปตรวจสอบหลุมฝังศพหมู่ 2 แห่งที่เมืองกูตัยฟาห์ (Qutayfah) และ นัจฮา (Najha) ใกล้กรุงดามัสกัสว่า “แน่นอนว่าเรามีคนมากกว่า 100,000 คนที่สูญหายและถูกทรมานจนตายด้วยเครื่องจักรสังหารนี้”
แรปป์ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมอัยการที่ทำคดีอาชญากรรมสงครามในรวันดาและเซียร์ราลีโอน และทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมซีเรียเพื่อจดบันทึกหลักฐานการก่ออาชญากรรมสงคราม ตลอดจนช่วยเตรียมการต่างๆ เพื่อนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง บอกด้วยว่า “ผมไม่สงสัยเลยกับตัวเลขที่เราได้ยินมา หลังจากที่ได้เห็นหลุมฝังศพหมู่เหล่านี้”
“เราไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่ยุคของนาซี”
“ตั้งแต่ตำรวจลับที่ลักพาตัวคนไปจากท้องถนนและบ้านเรือน เรื่อยไปจนถึงผู้คุมคุกและพนักงานสอบสวนที่ทรมานและปล่อยให้คนเหล่านั้นอดอาหารจนตาย รวมถึงคนขับรถบรรทุกและคนขับรถตักดินที่ช่วยกันซุกซ่อนศพ มีคนเป็นพันๆ คนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับระบบสังหารนี้”
“เรากำลังพูดถึงระบบรัฐที่สร้างความหวาดกลัว (state of terror) และกลายเป็นเครื่องจักรกลสังหารในที่สุด”
เชื่อกันว่ามีชาวซีเรียหลายแสนคนถูกสังหารตั้งแต่ช่วงปี 2011 หลังจากที่ อัสซาด เริ่มปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย จนกระทั่งสถานการณ์ลุกลามไปสู่สงครามกลางเมืองเต็มขั้น
ทั้ง อัสซาด และ “ฮาเฟซ” บิดาของเขาซึ่งเป็นประธานาธิบดีซีเรียคนก่อนหน้าและเสียชีวิตไปในปี 2000 ต่างถูกองค์กรสิทธิมนุษยชนและรัฐบาลนานาชาติกล่าวหาว่ามีการวิสามัญฆาตกรรมคนเป็นจำนวนมากมาย รวมถึงการประหารชีวิตหมู่ภายในระบบเรือนจำของซีเรีย นอกจากนี้ยังมีการนำอาวุธเคมีมาใช้กับประชาชนด้วย
อัสซาด ซึ่งหนีไปอยู่ที่กรุงมอสโกเคยออกมาปฏิเสธหลายต่อหลายครั้งว่ารัฐบาลของเขาไม่ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างที่ถูกกล่าวหา และอ้างว่าพวกที่กล่าวร้ายตนเป็นพวกสุดโต่ง (extremists)
มูอาซ มุสตาฟา หัวหน้าองค์กร Syrian Emergency Task Force ในสหรัฐฯ ซึ่งเคยเดินทางไปดูหลุมศพหมู่ที่กูตัยฟาห์ซึ่งอยู่ห่างจากดามัสกัสไปทางเหนือราว 40 กิโลเมตร ประเมินว่าเฉพาะที่นั่นน่าจะมีศพถูกฝังรวมกันไม่ต่ำกว่า 100,000 ร่าง
คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยบุคคลสูญหาย (International Commission on Missing Persons) ซึ่งมีฐานที่กรุงเฮกระบุว่า คณะกรรมการเคยได้รับข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการยืนยันว่าน่าจะมีหลุมฝังศพหมู่ลักษณะนี้มากถึง 66 แห่งในซีเรีย
ด้านองค์กรทั้งระหว่างประเทศและในซีเรีย รวมถึงองค์การสหประชาชาติ และ Syrian Network for Human Rights ให้ข้อมูลตรงกันว่า มีชาวซีเรียมากกว่า 150,000 คนที่เข้าข่ายเป็นบุคคลสูญหาย
แคทธรีน บอมเบอร์เกอร์ ประธานคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยบุคคลสูญหาย บอกกับรอยเตอร์ว่า ช่องทางรับแจ้งคนหายขององค์กรมีครอบครัวคนหายติดต่อเข้ามาจน “สายแทบไหม้”
เธอยังบอกด้วยว่า การติดตามหาความจริงในซีเรียอาจต้องใช้เวลานานและเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอนั้นจะต้องใช้ตัวอย่างดีเอ็นเอจากญาติอย่างน้อย 3 คน และนำตัวอย่างดีเอ็นเอจากศพแต่ละร่างที่พบในหลุมมาตรวจเทียบเคียง
ทางคณะกรรมการเรียกร้องให้มีการปกป้องหลุมฝังศพหมู่เหล่านี้ไว้ เพื่อไม่ให้หลักฐานต่างๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องสูญหายไป โดยปัจจุบันหลุมฝังศพเหล่านี้ยังคงสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย
ภาพถ่ายดาวเทียมที่วิเคราะห์โดยรอยเตอร์แสดงให้เห็นว่า มีการขุดหลุมขนาดใหญ่ในสถานที่นี้ระหว่างปี 2012-2014 และมีการขุดเพิ่มเติมจนถึงปี 2022 ขณะที่ภาพถ่ายดาวเทียมของ Maxar ซึ่งถ่ายไว้ระหว่างช่วงเวลาเดียวกันเผยให้เห็นรถขุดดินและหลุมดินที่ถูกขุดเป็นร่องลึกขนาดใหญ่ รวมไปถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่อีก 3-4 คัน
ที่มา: รอยเตอร์