xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์ขู่ลงโทษ ‘บริกส์’ กลับกลายเป็นการเติมเชื้อแรงขับดันให้นานาประเทศถอยห่างจากเงินดอลลาร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ไนเจล กรีน


การประชุมซัมมิตครั้งหลังสุดของกลุ่มบริกส์ จัดขึ้นที่เมืองคาซาน, รัสเซีย เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ในภาพนี้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ในฐานะเจ้าภาพ ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัย
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Trump’s BRICS threat adds fuel to de-dollarization drive
by Nigel Green
12/12/2024

การที่ทรัมป์ข่มขู่จะจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 200% เอากับพวกสมาชิกกลุ่มบริกส์ที่เดินหน้าแผนการลดทอนความสำคัญของสกุลเงินดอลลาร์ จะกลับกลายเป็นการตัดรอนความไว้เนื้อเชื่อใจในเงินตราอเมริกัน ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นอาวุธอย่างเปิดเผยชัดเจน

การหวนคืนสู่อำนาจของ โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังนำเอาบุคลิกความเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากของเขา กลับมาสู่เวทีเศรษฐกิจระดับโลกอีกครั้งหนึ่ง

หนึ่งในเป้าหมายอย่างแรกๆ ของเขาเลยคือ บริกส์ (BRICS) ที่เป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจซึ่งก่อตั้งโดยบราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้ แล้วจากนั้นมีสมาชิกหน้าใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมรวมทั้ง ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยที่มีรายงานว่ากลุ่มนี้กำลังเตรียมที่จะก่อตั้งสกุลเงินตรา ซึ่งจะแข่งขันเป็นปรปักษ์กับฐานะครอบงำโลกของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

คำขู่ของทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีศุลกากรในอัตรา 200% และจะออกคำสั่งห้ามไม่ให้ชาติบริกส์ใดๆ ก็ตามที ที่พยายามดำเนินการเคลื่อนไหวเพื่อลดความสำคัญของเงินดอลลาร์ดังกล่าว ได้เข้าตลาดสหรัฐฯ ปรากฏว่าได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอภิปรายขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง เกี่ยวกับฐานะความเป็นเจ้าสูงสุดของเงินดอลลาร์ในอนาคตข้างหน้า

มองกันอย่างเผินๆ ในตอนแรกทีเดียว การปกป้องเงินดอลลาร์แบบแข็งกร้าวของทรัมป์เช่นนี้ ดูเหมือนจะช่วยส่งเสริมค้ำจุนฐานะของสกุลเงินตราสหรัฐฯ ในการเป็นเงินตราสำรองระดับโลก ซึ่งเป็นบทบาทที่มันยึดครองมาโดยตลอดตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ทว่าเมื่อพินิจพิจารณาอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น กลับมีสิ่งบ่งชี้ว่ายุทธวิธีเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลด้านกลับ ด้วยการผลักดันพวกประเทศเฉกเช่นจีนให้เร่งรัดความพยายามในการลดทอนการพึ่งพาอาศัยเงินดอลลาร์และการถือครองดอลลาร์ของพวกเขาลง

ปักกิ่งนั้นคอยจับตาระมัดระวังอยู่ก่อนแล้ว เกี่ยวกับความปรารถนาของวอชิงตันที่จะใช้เงินดอลลาร์มาเป็นอาวุธในทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างหนึ่ง ดังเห็นได้ว่าจีนได้ใช้ระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาในการวางพื้นฐานสำหรับเปิดทางเลือกด้านการเงินในอนาคตข้างหน้า

แดนมังกรได้ส่งเสริมสนับสนุนอย่างแข็งขันให้มีการนำเงินหยวนของตนไปใช้ในทางระหว่างประเทศ โดยผ่านข้อตกลงการค้าทวิภาคีต่างๆ และความเป็นหุ้นส่วนที่มีการขยับขยายออกไปอย่างกว้างขวางภายใต้แผนการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative หรือ BRI)

นอกจากนั้น ธนาคารกลางของจีนยังกำลังกระจายทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของพวกเขา โดยกำลังเปลี่ยนจากการถือครองพวกสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ มาเป็นทองคำและสกุลเงินตราอื่นๆ

สำหรับปักกิ่งแล้ว คำพูดเช่นนี้ของ ทรัมป์ ไม่ใช่เป็นการพูดป้องปราม –แต่มันเป็นการเรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติการกันแล้ว การที่ทรัมป์มีความชื่นชอบในการใช้ภาษีศุลกากรและการออกมาตรการแซงก์ชั่นมาเป็นเครื่องมือในทางการทูตภาคเศรษฐกิจเช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดผลพ่วงติดตามมาอย่างไม่ตั้งใจเรียบร้อยแล้ว

ด้วยการที่สหรัฐฯมีการใช้มาตรการเหล่านี้อย่างแข็งกร้าวต่อเนื่องมาเป็นแรมปี จึงก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจอย่างล้ำลึกขึ้น ทั้งในหมู่หุ้นส่วนคู่ค้าและในบรรดาพวกศัตรูคู่ปรปักษ์ของอเมริกา ด้วยการแปลี่ยนเงินดอลลาร์ให้กลายเป็นอาวุธอย่างหนึ่ง สหรัฐฯก็ได้ผลักไสโดยไม่เจตนาให้ชาติต่างๆ หันไปหาทางเลือกอย่างอื่นๆ

จีนกับรัสเซีย ซึ่งตกเป็นเป้าหมายในการแซงก์ชั่นของอเมริกาบ่อยครั้ง คือผู้ที่อยู่นำหน้าใครเพื่อนในการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ พวกเขาลงนามในข้อตกลงต่างๆ ที่มุ่งค้าขายกันโดยใช้สกุลเงินตราท้องถิ่น รวมทั้งเพิ่มพูนยกระดับความร่วมมือภายในเวทีต่างๆ อย่างเช่นกลุ่มบริกส์ ความเคลื่อนไหวเหล่านี้อาจจะไม่ได้โค่นเงินดอลลาร์ให้ตกลงจากบัลลังก์ในชั่วเวลาข้ามคืน แต่มันก็กำลังลิดรอนฐานะครอบงำของดอลลาร์ลงไปเรื่อยๆ

การก่อตั้งสกุลเงินของบริกส์เองขึ้นมา ขณะที่ยังคงถือเป็นข้อตกลงที่ดูห่างไกลและเต็มไปด้วยอุปสรรคความท้าทายในทางลอจิสติกส์ แต่มันก็เป็นสัญลักษ์ของความปรารถนาโดยรวมร่วมกันในวงกว้าง ที่จะสร้างระบบการเงินซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออิทธิพลอเมริกันน้อยลง

คำขู่ของทรัมป์ในระยะสั้นอาจจะทำให้ความพยายามดังกล่าวต้องหยุดชะงักหรือเพิ่มความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น ทว่ามันก็กลับกลายเป็นสิ่งยืนยันถึงความถูกต้องชอบธรรมของความหวาดกลัวทั้งหลายซึ่งกำลังขับดันให้เกิดความริเริ่มต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมา --นั่นก็คือสหรัฐฯนั้นพร้อมใช้อำนาจทางเศรษฐกิจของตัวเองโดยแทบไม่คำนึงถึงเสถียรภาพระยะยาวของระเบียบทางการเงินระดับโลกกันเลย

ยิ่งสำหรับจีนด้วยแล้ว นี่ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ เท่านั้น แต่มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักษาสถานะของตัวเองในฐานะที่เป็นหนึ่งในอภิมหาอำนาจระดับโลกเอาไว้ให้ได้อย่างมั่นคงอีกด้วย ระบบการเงินแบบที่มีขั้วอำนาจหลายขั้วย่อมจะลดทอนความอ่อนแอของจีนในการเผชิญแรงบีบคั้นทางเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ รวมทั้งให้เสรีภาพแก่ปักกิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากมายในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ของตนเอง

ประสบการณ์ทางด้านเงินหยวนดิจิตอล –ซึ่งถือเป็นโครงการสกุลเงินตราดิจิตอลของธนาคารกลางที่มีความก้าวไกลล้ำยุคที่สุดในโลก – เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมาดปรารถนาที่มีขอบเขตกว้างขวางยิ่งกว่านี้มาก หากประสบความสำเร็จ โครงการนี้ก็สามารถเสนอทางเลือกหนึ่ง ซึ่งจะใช้แทนที่ระบบชำระเงินข้ามพรมแดนด้วยสกุลเงินดอลลาร์ได้อย่างดีทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพวกชาติเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่

ยุทธศาสตร์ของทรัมป์จึงกำลังมีความย้อนแย้งตรงที่ว่า มันกลับกลายเป็นการเร่งรัดแนวโน้มต่างๆ ที่เขาทึกทักว่าเขากำลังพยายามที่จะต่อสู้ทัดทาน ด้วยการเพิ่มการจัดเก็บภาษีศุลกากรและการออกมาตรการแซงก์ชั่นอย่างหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เขาก็กลับกำลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ความรับรู้ความเข้าใจที่ว่า สหรัฐฯคือผู้ดูแลระบบการเงินโลกที่เชื่อถือไว้วางใจไม่ได้

ความรับรู้ความเข้าใจเช่นนี้ไม่เพียงตรงใจพวกปรปักษ์อย่างเช่นจีนและรัสเซียเท่านั้น หากยังโดนใจเหล่าพันธมิตรของสหรัฐฯในยุโรปและเอเชีย โดยเห็นได้จากการที่ประเทศเหล่านี้จำนวนมากกำลังแสดงความกังวลในเรื่องที่ต้องพึ่งพาอาศัยเงินดอลลาร์มากเกินไปเช่นกัน

ความพยายามอย่างเช่น การที่สหภาพยุโรปผลักดันให้มีการใช้สกุลเงินยูโรปกันให้มากมายกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการค้าภาคพลังงาน คือพยานหลักฐานของความรู้สึกไม่สบายใจที่กำลังเพิ่มมากขึ้นที่ว่านี้

กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว การรักษาฐานะครอบงำของเงินดอลลาร์เอาไว้ให้ได้นั้นต้องพึ่งพาอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจ --ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ว่าสหรัฐฯจะปฏิบัติตัวในฐานะเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบของเศรษฐกิจโลก และความไว้เนื้อเชื่อใจที่ว่าพวกสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์จะยังคงมีความมั่นคงและสามารรถเข้าถึงได้

ด้วยการทำให้เงินดอลลาร์กลายเป็นอาวุธขึ้นมา ทรัมป์ก็กำลังเสี่ยงภัยที่จะบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจดังกล่าว ไม่เฉพาะในหมู่พวกปรปักษ์ของอเมริกาเท่านั้น แต่ยังในหมู่พันธมิตรของอเมริกาอีกด้วย

และขณะที่ความไว้เนื้อเชื่อใจดังกล่าวนี้สูญสลายไป การที่เงินดอลลาร์จะสามารถยึดครองสถานะการเป็นสกุลเงินตราสำรองที่ใครๆ ก็อิจฉาริษยาเอาไว้ต่อไป ก็ย่อมกลายเป็นเรื่องที่ไม่อาจกระทำได้ไปด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น